tag:blogger.com,1999:blog-35897106675454482422024-02-18T22:50:26.458-08:00compass of skyขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.comBlogger27125tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-80978486030633555932012-02-17T05:02:00.000-08:002012-02-17T05:12:54.678-08:00บุคคลที่เป็นต่างชาติที่เข้าสร้างสรรค์ผลงานเกิดประโยชน์กับประเทศไทย<p class="MsoNormal" style="text-align: center;background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; "><span ><span lang="TH" style="text-align: -webkit-auto; background-color: rgb(255, 255, 255); font-family: 'MS Sans Serif'; ">หมอบรัดเลย์ หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (</span><span style="text-align: -webkit-auto; background-color: rgb(255, 255, 255); font-family: 'MS Sans Serif'; ">Dan Beach Bradley, M.D.)</span></span> </p><p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span ><span style="font-size: 27px;"><br /></span></span></p><p class="MsoNormal" style="text-align: center;background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; "><span ><img src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSHq6J0QzTtmEiJsLh1zj4IR83o5JTR98fT9V2RFoZZ_slunzBh" /></span> </p><p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span ><span style="font-size: 27px;"><br /></span></span></p><p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span class="Apple-tab-span" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 27px; white-space: pre; "> </span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 27px; ">ในอดีตไทยใช้การเขียนบันทึกความรู้ต่างๆลงในใบลาน เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและองค์ความรู้ที่ถ่ายทอดกันระหว่างรุ่นสู่รุ่น</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">เทคโนโลยีเกี่ยวกั</span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">บการพิมพ์ ปรากฎขึ้นในดินแดนสยามเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; "> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">อันถือว่าเป็นยุคหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีที่มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้ชีวิตในสยามมากมาย ทั้งจีน แขก และฝรั่ง หนังสือในรูปแบบของการพิมพ์ตัวอักษรมาพร้อมกับหมอสอนศาสนาชาวต่างชาติที่มีเป้าประสงค์หลักคือการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในภูมิภาคนี้</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; "> </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">บาทหลวงที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทในเรื่องการพิมพ์มากที่สุดในยุคนั้นคงไม่พ้นจากบาทหลวงชาวฝรั่งเศสนาม ลาโน(</span><span style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">Mgr Laneau) </span><span lang="TH" style="font-family: 'Angsana New', serif; font-size: 20pt; ">ที่ได้จัดพิมพ์คำสอนทางคริสต์ศาสนาขึ้นมาเผยแพร่ จนเป็นที่พอพระทัยในองค์พระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และในคราวที่ ออกญาโกษาธิบดี(ปาน) เป็นราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศฝรั่งเศสก็ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการงานพิมพ์ของฝรั่งเศสและแสดงความสนอกสนใจเป็นอย่างมากจนกระทั่งในกาลต่อมาพระนารายณ์มหาราชทรงมีรับสั่งให้ตั้งโรงพิมพ์ขึ้น ที่เมืองลพบุรีอันเป็นสถานที่พระองค์ใช้พำนักอยู่ในช่วงปลายรัชกาล แต่ กิจการงานพิมพ์ของสยามในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเมื่อมีเกิดการผลัดแผ่นดิน เป็นแผ่นดินของพระเพทราชา ที่ไม่ค่อยโปรดพวกมิชชั่นนารีเท่าทีควรเป็นเหตุให้พัฒนาการเกี่ยวกับการพิมพ์ของสยามในช่วงนั้นต้องหยุดชะงัดลงไปด้วย</span></p> <p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span lang="TH" style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi">บุคคลสำคัญในประวัติการพิมพ์ของไทยอีกคนหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ นางจัดสัน (</span><span style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif"; mso-ascii-theme-font:major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font: major-bidi">Nancy Judson) <span lang="TH">ซึ่งเป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในเมืองย่างกุ้งของประเทศพม่า มีความสนอกสนใจในภาษาไทยจึงได้ทำการหล่อตัวพิมพ์เป็นภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.</span> 2356 <span lang="TH">หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สองไปแล้วราว</span> 40 <span lang="TH">กว่า ปี แต่ต่อมาตัวพิมพ์ชุดนี้ยังไม่ทันได้ใช้งาน ก็ถูกซื้อไปเก็บไว้ที่ประเทศสิงคโปร์โดย โดยมิชชันนารีคณะ</span> American Board of Commissioners for Foreign Missions <span lang="TH">อันเป็นคณะมิชชันนารี ที่ หมอบลัดเลย์ได้เข้ามาสังกัดอยู่ และภายหลังได้ใช้ชุดหล่อตัวพิมพ์ชิ้นนี้ พิมพ์หนังสือภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรกจนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการพิมพ์ของไทย</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span lang="TH" style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi">หมอบรัดเลย์ หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (</span><span style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif"; mso-ascii-theme-font:major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font: major-bidi">Dan Beach Bradley, M.D.)<span lang="TH">เป็นหมอสอนศาสนา ชาวเมืองมาร์เซลลัส</span>(Marcellus) <span lang="TH">ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นบุครคนที่</span> 5 <span lang="TH">ของ นายนายแดน บรัดเลย์และนางยูนิช บีช บรัดเลย์ บิดาเป็นต้นแบบของหมอบลัดเลย์โดยเคยเป็นทั้ง หมอสอนศาสนา ผู้พิพากษา เกษตรกร และบรรณาธิการวารสารทางเกษตรกรรม ดังนั้นจึงสร้างเป็นแนวความคิดให้หมอบลัดเลย์ใฝ่ฝันอยากจะเผยแพร่ศาสนาอย่างผู้เป็นบิดาบ้างจึงตัดสินใจเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ เมื่อจบการศึกษาก็สมัครเป็นมิชชั่นนารีในองค์กร</span>American Board of Commissioners of Foreign Missions(ABCFM) <span lang="TH">หมอบลัดเลย์เดินทางมาเผยแพร่ ศาสนาในประเทศไทยในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่</span> 3 <span lang="TH">โดยได้แวะที่สิงคโปร์และได้รับชุดตัวพิมพ์ภาษาไทยที่</span> American Board of Commissioners of Foreign Missions <span lang="TH">ในประเทศสิงคโปรได้ซื้อไว้ ก่อนจะเดินทางเข้ามาสู่ประเทศไทย</span><br /><br /><span lang="TH">ในระยะแรกหมอบลัดเลย์ได้อาศัยอยู่ในละแวกสัมพันธวงศ์โดยเปิดเป็นร้านจ่ายยา และช่วยรักษาโรคให้แก่ชาวพระนคร</span> <span lang="TH">ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่ฝั่งธนบุรี และได้รักษาพยาบาลคนเรื่อยมาโดยผลงานที่สำคัญคือการผ่าตัดผู้ป่วยคนไทยจนสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ถือว่าเป็นการผ่าตัดครั้งแรกที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเลยทีเดียว ส่วนในงานเผยแพร่ศาสนานั้นหมอบลัดเลย์ก็ไม่ได้ละเลย ยังคงเผยแพร่คำสอนของศาสนาคริสต์อยู่เรื่อยมาและการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นั้นจำเป็นต้องมีหนังสือเพื่อช่วยให้คนเข้าอกเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาใหม่นี้ได้ง่ายขึ้นดังนั้นหมอบลัดเลย์จึงย้ายไปอาศัยอยู่ ข้างวัดประยูรวงศาวาส ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมองว่าเป็นพื้นที่ที่มีทำเลดีและได้ตั้งโรงพิมพ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการพิมพ์หนังสือเพื่อเผยแพร่ศาสนา</span> <span lang="TH">และได้ใช้ ตัวอักษรภาษาไทยที่ได้มาจากสิงคโปร์ในคราวที่แวะจอดเรือก่อนจะเข้ามาประเทศไทย งานชิ้นแรกที่ หมอบลัดเลย์พิมพ์เป็นภาษาไทยในวันที่</span> 27 <span lang="TH">เมษายน พ.ศ.</span>2382<span lang="TH">คือ</span> <span lang="TH">การพิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นและห้ามค้าฝิ่น ที่ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทำขึ้นจำนวน</span> 9,<span lang="TH">๐๐๐ แผ่น ซึ่งนับว่าเป็นเอกสารราชการไทยฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นด้วยเครื่องพิมพ์</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span lang="TH" style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi">ต่อมาในปีพ.ศ.</span><span style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi"> 2385 <span lang="TH">หมอบลัดเลย์ได้หล่อชุดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ และในอีกสองปีต่อมาหมอบลัดเลย์ได้ใช้ชุดพิมพ์ตัวใหม่นี้ จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์รายเดือนภาษาไทยฉบับแรกขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่าชื่อว่า บางกอกรีคอเดอ (</span>Bangkok Recorder) <span lang="TH">ออกวางจำหน่าย ซึ่งถือเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยฉบับแรกที่มีขึ้นในประเทศไทย แต่หนังสือพิมพ์เล่มดังกล่าวก็อยู่ได้ไม่นานต้องปิดตัวไป เพราะเป็นช่วงเวลาที่ภรรยาของหมอบลัดเลย์สิ้นชีวิตพอดีทำให้การดำเนินกิจการหนังสือพิมพ์รีคอเดรอ์ไม่สามารถเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงต้องหยุดลงชั่วคราวโดยหมอบลัดเลย์ตัดสินใจเดินทางกลับประเทศของตนเป็นระยะเวลาหนึ่งและได้แต่งงานใหม่ก่อนจะกลับคืนสู่ประเทศไทยอีกครั้ง</span> <span lang="TH">กลับมาคราวนี้หมอหมอบลัดเลย์ได้ลาออกจาก</span>American Board of Commissioners of Foreign Missions <span lang="TH">เข้ามาย้ายไปสังกัดองค์กร</span> American Missionary Association ( AMA) <span lang="TH">แทน</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-position: initial initial; background-repeat: initial initial; "><span lang="TH" style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi">องค์กรใหม่มีฐานะทางการเงินไม่สู้ดีเท่าทีควรจึงทำให้หมอบลัดเลย์ต้องหารายได้พิเศษโดยการพิมพ์หนังสือขาย เพื่อจุนเจือฐานะทางการเงิน โดยหนังสือที่พิมพ์ในช่วงนี้มีหลายหลายประเภททั้ง ตำราเรียนภาษาไทย เช่น ประถม ก กา จินดามณี หนังสือกฎหมายทั้งยังพิมพ์เรื่องในวรรณคดีต่างๆเช่น ราชาธิราช</span><span style="font-size:20.0pt;font-family:"Angsana New","serif";mso-ascii-theme-font: major-bidi;mso-hansi-theme-font:major-bidi;mso-bidi-theme-font:major-bidi"> <span lang="TH">สามก๊ก เลียดก๊ก ไซ่ฮั่น เป็นต้นและในช่วงนี้เองที่ทำให้มีการซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเพื่อมาจัดพิมพ์วางจำหน่ายเป็นครังแรกในประเทศไทยเมื่อ หมอบลัดเลย์ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของหนังสือ นิราศลอนดอนที่เขียนโดย หม่อมราโชทัย</span> (<span lang="TH">หม่อมราชวงศ์กระต่าย อิศรางกูร) เป็นเงิน</span> 4<span lang="TH">๐๐ บาท ในวันที่</span> 15 <span lang="TH">มิถุนายน พ.ศ.</span> 2404 <span lang="TH">ทำให้หนังสือเล่มดังกล่าวเป็นหนังสือเล่มแรกของไทยที่มีการซื้อขายลิขสิทธ์ตามแบบอย่างตะวันตก และสำนักพิมพ์ต่างๆก็ยังคงยึดถือหลักการนี้สืบมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน</span><o:p></o:p></span></p>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-34105590484876116992012-02-17T04:39:00.000-08:002012-02-17T04:48:20.735-08:00บุคคลสำคัญของไทย<div class="Section1" style="background-color: rgb(255, 255, 255); "><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; text-align: -webkit-left; text-indent: 0px; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><span ><b><br /></b></span></span></span></p><p class="MsoNormal" style="text-align: left;margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; "><span >ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช </span> </p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; text-align: -webkit-left; text-indent: 0px; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><span ><b><br /></b></span></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); text-align: center; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; "><img src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSMtr2_x0VHXakvk5v-N8GyoEBCNjK_xZDsB0bFMPBqVT-c6OzNCw" /> </p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); text-align: center; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; "><img src="http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSMtr2_x0VHXakvk5v-N8GyoEBCNjK_xZDsB0bFMPBqVT-c6OzNCw" /> </p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; text-align: -webkit-left; text-indent: 0px; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><span ><b><br /></b></span></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span ><span style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; text-align: -webkit-left; text-indent: 0px; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><b>ประวัติย่อ</b></span></span> </span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2425 เวลา 7.20 น. ในเรือลอยอยู่ในแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตำบลบ้านม้า อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี เป็นบุตรคนที่ 4 ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าคำรบ กับหม่อมแดง ปราโมช โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เกิดระหว่างที่พระองค์เจ้าคำรบ เดินทางไปรับตำแหน่งที่มณฑลพิษณุโลก หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง ได้เสด็จประพาสมณฑลพิษณุโลก พระองค์เจ้าคำรบได้ปลูกพลับพลารับเสด็จและทรงอุ้ม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เข้าเฝ้าด้วย ปรากฏว่าดิ้นยืดแขนยืดขาจึงทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อว่า </span><span style="font-family: 'Cordia New'; ">“<span lang="TH">คึกฤทธิ์</span>”<o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p><span > </span></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> เริ่มเรียนที่โรงเรียนวังหลัง และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย จนสอบได้ชั้นมัธยมปีที่ 7 จากนั้นไปศึกษาต่อที่ </span><st1:place st="on"><st1:placename st="on"><st1:city st="on"><span style="font-family: 'Cordia New'; ">Trent</span></st1:city></st1:placename><span style="font-family: 'Cordia New'; "> <st1:placename st="on">College</st1:placename></span></st1:place><span style="font-family: 'Cordia New'; "> <span lang="TH">และมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดประเทศอังกฤษ ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยม ในสาขาปรัชญา เศรษฐศาสตร์และการเมือง ภายหลังได้รับปริญญาดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ อีกหลายสาขาวิชา</span><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p><span > </span></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> เริ่มทำงานที่กรมสรรพากร และถูกเกณฑ์ทหารตอนสงครามอินโดจีน ได้ยศสิบตรี จากนั้นไปทำงานธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ลำปาง และกลับมาทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยที่กรุงเทพฯ ได้ร่วมก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ </span><span style="font-family: 'Cordia New'; ">“<span lang="TH">ก้าวหน้า</span>”<span lang="TH"> เมื่อพ.ศ. 2488 จากนั้นนายควง อภัยวงศ์ ชวนไปก่อตั้งพรรคใหม่ชื่อ </span>“<span lang="TH">ประชาธิปัตย์</span>”</span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">โดยนายควง อภัยวงศ์ เป็นหัวหน้าพรรค ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรค อยู่สู้ในสภา 2 ปี ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลชุดนายควง อภัยวงศ์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2490 พลโทผิน ชุณหะวัณ ทำรัฐประหารแต่ยังไม่พร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลของตนเองจึงไปชวนนายควง อภัยวงศ์ กลับมาเป็นนายยกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอย สั่งราชการกระทรวงการคลัง แต่อยู่ได้เพียง 5 เดือน จอมพลป.พิบูลสงคราม ก็ขึ้นบริหารประเทศแทน</span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p> </o:p></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> </span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2491 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ประกาศลาออก จากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรกลางสภา และลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์เพราะคัดค้านการขึ้นเงินเดิอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ในขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์สมยอมกับรัฐบาล จากนั้นได้ยุติบทบาททางกรเมืองโดยตรงอยู่นานจนหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 จึงจัดตั้งและเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง </span><span style="font-family: 'Cordia New'; ">“<span lang="TH">กิจสังคม</span>”<span lang="TH"> และจากการเลือกตั้งเมื่อพ.ศ. 2518 แม้พรรคกิจสังคมจะได้รับเลือกมาเพียง 18 คน แต่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชก็สามารถเป็นแกนกลางในการจัดตั้งรัฐบาลผสม และดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 12 สมีนาคม พ.ศ.2518 </span>–<span lang="TH"> 20 เมษายน 2519 </span><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> </span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> ในส่วนที่เกี่ยวกับการประพันธ์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เริ่มเขียนบทสักวา บทความ และสารคดี ลงในหนังสือพิมพ์ </span><span style="font-family: 'Cordia New'; ">“<span lang="TH">เกียรติศักดิ์</span>”<span lang="TH"> เป็นประจำ ตั้งแต่ช่วงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพ.ศ. 2489 เพราะสละ ลิขิตกุลบรรณาธิการยุคนั้นผู้สนิทคุ้นเคยขอร้องให้ช่วยเขียน และได้กลายเป็นนักเขียนจริงจังเมื่อออกหนังสือพิมพ์ </span>“<span lang="TH">สยามรัฐ</span>”<span lang="TH"> รายวันของตนเอง ตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2493 เป็นตันมา โดยระยะแรก ถูกบรรณาธิการคือ สละ ลิขิตกุล ของให้เขียนวันละ 3 เรื่อง มีเรื่องยาวประจำคือ สามก๊กฉบับ นายทุน บทบรรณาธิการ และเก็บเล็กผสมน้อย ในระยะต่อมาก็มีงานเขียนอื่นๆ อีกมาก รวมทุกประเภทมากกว่าร้อยเรื่องและล้วนได้รับความนิยมจากผู้อ่านอย่างกว้างขวางทั้งสิ้นนวนิยายเรื่อง สี่แผ่นดิน กับ ไผ่แดง ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ หลายชีวิต แปลเป็นภาษาญี่ปุ่น เป็นต้น คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงได้ประกาศให้เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ เมื่อ พ.ศ. 2528</span><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p><span > </span></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-align: justify; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช สมรสกับ ม.ร.ว. พักตร์พริ้ง ทองใหญ่ มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ ม.ล.รองฤทธิ์ และ ม.ล.วิสุมิตรา ปราโมช ต่อมาแม้จะหย่าขาดจากกัน แต่ต่างก็ไม่สมรสใหม่และไม่ได้โกรธเคืองกัน โดย ม.ร.ว.พักตร์พริ้งอยู่กับลูกชายคือ ม.ล.รองฤทธิ์ ที่บ้านในซอยสวนพลูติดกับบ้านของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และยังไปมาดูแลทุกข์สุขกันเสมอ</span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p><span > </span></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-align: justify; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><span > <span lang="TH">ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้มีความรู้ความสามารถหลายบทบาท ทั้งในฐานะนักการเมือง นักการธนาคาร นักพูด นักเขียน ศิลปินระดับที่เคยร่วมแสดงภาพยนตร์กับฮอลลีวู้ด และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งคณะโขนนักศึกษาธรรมศาสตร์ ฯลฯ จนได้รับยกย่องเป็นปราชญ์ของเมืองไทยที่ชาวต่างประเทศยอมรับกว้างขวาง และได้รับพระราชทานยศกรณีพิเศษเป็นพลตรี แต่ที่นับว่าประสบความสำเร็จสูงสุดและได้กระทำอย่างต่อเนื่องมากที่สุดคือ งานประพันธ์ แม้ในระยะหลังเมื่อมีอายุมากแบ้ว สุขภาพไม่แข็งแรงนักก็ยังเขียนบทความในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน อยู่เป็นประจำ รวมทั้งนวนิยายเรื่องสุดท้ายคือ </span>“<span lang="TH">กาเหว่าที่บางเพลง</span>”</span><span style="font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; font-size: xx-small; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Cordia New'; "><o:p> </o:p></span><span class="mw-headline"><o:p><span > </span></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><span class="mw-headline"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">ผลงานรวมเล่ม</span></b></span><span class="mw-headline"><b><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></b></span></span></p><p class="MsoNormal" style="color: rgb(51, 51, 51); font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><span class="mw-headline"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> นวนิยาย</span></b></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><br clear="all" style="page-break-before: auto; "></span></span></p></div><div class="Section2" style="font-weight: normal; color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; background-color: rgb(255, 255, 255); "><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สี่แผ่นดิน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สี่แผ่นดิน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ไผ่แดง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ไผ่แดง</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="กาเหว่าที่บางเพลง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%87" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >กาเหว่าที่บางเพลง</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ซูสีไทเฮา (นวนิยาย) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8B%E0%B8%B9%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%B2_%28%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ซูสีไทเฮา</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สามก๊ก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%81" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สามก๊กฉบับนายทุน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ราโชมอน (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ราโชมอน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p></div><span ><span class="mw-headline" style="font-weight: normal; color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; background-color: rgb(255, 255, 255); "><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><br clear="all" style="page-break-before: auto; "></span></b></span><span style="color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; background-color: rgb(255, 255, 255); "></span></span><div class="Section3" style="font-weight: normal; color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; background-color: rgb(255, 255, 255); "><p class="MsoNormal" style="margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><span class="mw-headline"><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "> รวมเรื่องสั้น</span></b></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><br clear="all" style="page-break-before: auto; "></span></span></p></div><div class="Section4" style="font-weight: normal; color: rgb(51, 51, 51); background-color: rgb(255, 255, 255); "><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="มอม(เรื่องสั้น) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A1%28%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >มอม</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เพื่อนนอน (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เพื่อนนอน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">หลายชีวิต</span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span></span><span class="mw-headline" style="font-size: x-large; text-indent: -18pt; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">สารคดี</span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ฉากญี่ปุ่น (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%89%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%8D%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ฉากญี่ปุ่น</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ยิว (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%A7_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ยิว</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เจ้าโลก (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เจ้าโลก</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สงครามผิว (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สงครามผิว</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="คนของโลก (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >คนของโลก</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ชมสวน (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ชมสวน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ธรรมคดี (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ธรรมคดี</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="น้ำพริก (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >น้ำพริก</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ฝรั่งศักดินา (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ฝรั่งศักดินา</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สรรพสัตว์ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A7%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สรรพสัตว์</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สัพเพเหระคดี (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สัพเพเหระคดี</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ข้อคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87_%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94_%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%88_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A_%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ข้อคิดเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="โครงกระดูกในตู้ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%89&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >โครงกระดูกในตู้</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="พม่าเสียเมือง (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >พม่าเสียเมือง</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ถกเขมร (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%96%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ถกเขมร</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เก็บเล็กผสมน้อย (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เก็บเล็กผสมน้อย</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เบ้งเฮ็ก ผู้ถูกกลืนทั้งเป็น (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B9%87%E0%B8%81_%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%96%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เบ้งเฮ็ก ผู้ถูกกลืนทั้งเป็น</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เมืองมายา (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เมืองมายา</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="เรื่องขำขัน (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >เรื่องขำขัน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="โจโฉ นายกฯ-ตลอดกาล (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B9%82%E0%B8%89_%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >โจโฉ นายกฯ-ตลอดกาล</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="กฤฎาภินิหารอันบิดบังมิได้ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%8E%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >กฤฎาภินิหารอันบิดบังมิได้</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="คนรักหมา (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >คนรักหมา</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ตลาดนัด (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%94_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ตลาดนัด</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="นิกายเซน (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >นิกายเซน</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="บันเทิงเริงรมย์ (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >บันเทิงเริงรมย์</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="วัยรุ่น (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >วัยรุ่น</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="สงครามเย็น (หนังสือ) (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B9%87%E0%B8%99_%28%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%29&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >สงครามเย็น</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="อโรคยา (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >อโรคยา</span></span></a></span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p></div><span class="mw-headline" style="color: rgb(51, 51, 51); background-color: rgb(255, 255, 255); "><b style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><div><span > </span></div></span></b><div><span >บทละครเวที</span><b style="font-size: x-large; font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; "><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></b></div><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><a title="ลูกคุณหลวง (ยังไม่ได้สร้าง)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87&action=edit&redlink=1" style="color: rgb(102, 102, 102); "><span style="color: windowtext; text-decoration: none; "><span >ลูกคุณหลวง</span></span></a></span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; font-size: xx-small; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><b><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Cordia New'; "><o:p> </o:p></span></b></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><span ><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">เกียรติยศที่ได้รับ</span></b><b><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></b></span></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">พ.ศ. 2531 ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศจากสิบตรี เป็นพลตรี (ทหารราชองครักษ์พิเศษ)</span><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 54pt; text-indent: -18pt; "><span ><span style="font-family: 'Cordia New'; ">-<span style="font-family: 'Times New Roman'; "> </span></span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; ">ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำ พ.ศ. 2528</span><b><span style="font-family: 'Cordia New'; "><o:p></o:p></span></b></span></p><b style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; "><span ><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "></span></span></b><div style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; "><b><span > </span></b></div><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><b><span style="font-family: 'Cordia New'; "><span ><o:p></o:p></span></span></b></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><b><span style="font-family: 'Cordia New'; "><span ><o:p></o:p></span></span></b></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; "><b><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><span >ปัจจุบัน<o:p></o:p></span></span></b></p><p class="MsoNormal" style="font-weight: normal; font-family: 'MS Sans Serif', Tahoma, sans-serif, Thonburi; margin-top: 0cm; margin-right: 0cm; margin-bottom: 0pt; margin-left: 0cm; text-indent: 36pt; "><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New'; "><span >ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ป่วยด้วยโรคหัวใจจนต้องเข้ารับการผ่าตัดที่สหรัฐอเมริกา เมื่อพ.ศ. 2530 และเข้ารับการรักษาพยาบาลเรื่อยมาเป็นระยะๆ จนกระทั้งถึงแก่อัญกรรม ณ โรงพยาบาลสมิติเวช กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2538</span></span></p></span>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-26090853299869390392010-12-05T03:09:00.000-08:002010-12-05T04:16:04.647-08:00<div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfZRNF6bTIaf-lHZ-EoHb3_r37ULKt8zOv6MjTKULRlcl8iIos69va0cau4S-GYMxk3RHUdztHBPmtfBG8XZuTYND_3ipnULGKVeWWlOXqor1QMFSJRLsqNDLzF4WkPPC4rldMwczG9qL3/s1600/attorneycvphoto.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 247px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfZRNF6bTIaf-lHZ-EoHb3_r37ULKt8zOv6MjTKULRlcl8iIos69va0cau4S-GYMxk3RHUdztHBPmtfBG8XZuTYND_3ipnULGKVeWWlOXqor1QMFSJRLsqNDLzF4WkPPC4rldMwczG9qL3/s320/attorneycvphoto.jpg" border="0" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5547170555246796466" /></a><br /><table cellspacing="0" width="100%" border="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"><!--Last Update : 5 กรกฎาคม 2550 8:58:00 น.--><b><br /><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><b><span class="Apple-style-span" ><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal; "><b>ความหมายของกฎหมาย</b></span></span></b></span></div><span class="Apple-style-span" ><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><div style="text-align: center;"><br /></div><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">ความหมายของกฎหมาย </span><br /><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">กฎหมายนั้นมีความหมายอยู่หลายประการ ซึ่งความหมายจะแปรเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น </span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">ลักษณะของสังคมที่แตกต่างกัน สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการของประชาชนในสังคม </span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">นั้น ๆ แต่หลักที่สำคัญและเป็นความหมายของกฎหมายโดยทั่วไปจะมีอยู่ 4 ประการ คือ </span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่ง </span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">2. กฎหมายถูกกำหนดขึ้นโดยผู้มีอำนาจในสังคม</span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">3. กฎหมายใช้บังคับและเป็นที่ทราบแก่คนทั่วไป</span><br /><span class="Apple-style-span" style="font-weight: normal;">4. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับแก่ผู้ฝ่าฝืน</span><br /><br /><br /><div style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" style="font-family: Georgia, serif; font-weight: normal; "><b><span class="Apple-style-span" >ความสำคัญของกฎหมาย</span></b></span></div></span></b><span class="Apple-style-span" ><div style="text-align: center;">ความสำคัญของกฎหมาย</div><br /><br />มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นเหล่า ความเจริญของสังคมมนุษย์นั้นยิ่งทำให้สังคมมีความ สลับซับซ้อน ตามสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ย่อมชอบที่จะกระทำสิ่งใด ๆ ตามใจชอบ ถ้าหากไม่มีการ ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็จะกระทำในสิ่งที่เกินขอบเขต ยิ่งสังคมเจริญขึ้นเพียงใด วามจำเป็น ที่จะต้องมีมาตรฐานในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จะต้องถือว่าเป็นมาตรฐานอันเดียวกันนั้นก็ยิ่งมี มากขึ้น เพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปแก่ทุกคนในลักษณะของกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งจะกำหนด วิถีทางการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย กฎเกณฑ์และข้อบังคับหรือวิธีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์มีการพัฒนา และมีวิวัฒนาการต่อไป อย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากฎหมายไม่มีความจำเป็น และเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรา ในปัจจุบันนี้ กฎหมายได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามาก ตั้งแต่เราเกิดก็จะต้องแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตร เมื่ออายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชน จะสมรสกันก็ต้องจดทะเบียนสมรสจึงจะ สมบูรณ์และในระหว่างเป็นสามี ภรรยากันกฎหมายก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องไปถึงวงศาคณาญาติอีกหรือจน ตายก็ต้องมีใบตาย เรียกว่าใบมรณะบัตร และก็ยังมีการจัดการมรดกซึ่งกฎหมายก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เสมอนอกจากนี้ในชีวิตประจำวันของคนเรายังมีความเกี่ยวข้องกับ ผู้อื่น เช่นไปตลาดก็มีการซื้อขายและ ต้องมี กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องการซื้อขาย หรือการ ทำงานเป็นลูกจ้าง นายจ้างหรืออาจจะเป็น<br />ข้าราชการก็ต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และที่เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองก็เช่นกัน ประชาชนมีหน้าที่ต่อบ้านเมืองมากมาย เช่น การปฏิบัติตนตามกฎหมาย หน้าที่ในการเสียภาษีอากร หน้าที่รับราชการทหาร สำหรับชาวไทย กฎหมายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็มีมากมายหลายฉบัย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา "คนไม่รู้ กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" เป็นหลักที่ว่า บุคคลใดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิด ตามกฎหมายมิได้ ทั้งนี้ ถ้าหากต่างคนต่างอ้างว่าตนไม่รู้กฎหมายที่ทำไปนั้น ตนไม่รู้จริง ๆ เมื่อกล่าวอ้าง อย่างนี้คนทำผิดก็คงจะรอดตัว ไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษกัน ก็จะเป็นการปิดหูปิดตาไม่อยากรู้กฎหมาย และถ้าใครรู้กฎหมายก็จะต้องมีความผิด รู้มากผิดมากรู้น้อยผิดน้อย ต่จะอ้างเช่นนี้ไม่ได้เพราะถือว่าเป็น หลักเกณฑ์ของสังคมที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ เรียนรู้กฎหมาย เพื่อขจัดข้อปัญหาการขัดแย้ง ความ ไม่เข้าใจกัน ด้วยวิธีการที่เรียกว่า กฎเกณฑ์อันเดียวกันนั้นก็คือ กฎหมาย นั่นเอง</span></td></tr></tbody></table><table cellspacing="0" width="100%" border="0"> <tbody> <tr> <td valign="top"><b><span class="Apple-style-span" ><br /></span></b><p align="justify" style="text-align: center;"><span class="Apple-style-span" > <strong>ประเภทของกฎหมาย</strong> </span></p> <p><span class="Apple-style-span" >การแบ่งประเภทของกฎหมายสามารถแบ่งได้หลายประเภทด้วยกัน แต่ถ้าแบ่งประเภทของกฎหมายตามแหล่งกำเนิดของกฎหมายก็ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้คือ<br />1.1.กฎหมายภายใน<br />1.2.กฎหมายระหว่างประเทศ</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.1 <u>กฎหมายภายใน(Internal Law) </u></strong>แ ยกพิจารณาออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้คือ</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.1.1 การแบ่งแยกประเภทกฎหมายตามเนื้อหาที่บัญญัติในกฎหมาย</strong> โดยแบ่งเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร และกฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษณ</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(1) กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Written Law)</strong> เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นโดยคำนึงถึงเนื้อหาของกฎหมายเป็นหลัก การบัญญัติกฎหมายอาจเป็นไปตามกระบวน การนิติบัญญัติหรือออกกฎหมายโดยฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นกฎหมายลายลักษณ์อักษรอาจบัญญัติขึ้นโดยองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นก็ได้</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(2) กฎหมายทีไม่ได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten Law)</strong> ซึ่งได้แก่กฎหมายจารีตประเพณีหรือ หลักกฎหมายทั่วไปต่างๆอันเป็นกฎหมายที่มิได้ บัญญัติขึ้นตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.1.2 การแบ่งตามสภาพบังคับของกฎหมาย</strong> โดยแบ่งออกเป็นกฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(1) กฎหมายอาญา(Criminal Law)</strong> เป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับ หากผู้ใดกระทำความผิดต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ ริบทรัพย์สิน ดังนั้นจึงแตกต่างจากสภาพบังคับในทางแพ่ง</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(2) กฎหมายแพ่งและพาณิชย์(Civil & Commercial Law)</strong> สภาพบังคับในทางแพ่งนั้นกฎหมายแพ่งมิได้กำหนดโทษไว้โดยตรงเช่นเดียวกับกฎหมาย อาญา แต่กฎหมายแพ่งก็มีสภาพบังคับในทางกฎหมาย เช่น หากมิได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด หรือ งดเว้นไม่กระทำการบางอย่างที่กฎหมายให้ต้องกระทำ หรือกระทำให้บุคคลอื่นเกิดความเสียหาย เป็นต้น บุคคลดังกล่าวนั้นก็จำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหาย หรือทำให้การกระทำนั้นๆ ต้องตกเป็นโมฆะหรือโมฆียะ หรือถูกบังคับให้ชำระหนี้ เป็นต้น</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.1.3 การแบ่งตามหลักแห่งการใช้กฎหมาย</strong> โดยแบ่งเป็นกฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(1) กฎหมายสารบัญญัติ(Substentive Law) </strong>เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่ของบุคคล ทั้งนี้โดยกฎหมายจะกำหนดการกระทำที่เป็นองค์ประกอบของ ความผิดไว้ ซึ่งทำให้รัฐสามารถบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายได้ เช่นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือประมวลกฎหมายอาญา เป็นต้น</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(2) กฎหมายวิธีสบัญญัติ(Procederal Law) </strong>เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยวิธีปฏิบัติหลักเกณฑ์ต่างๆ โดยการนำเอากฎหมายสารบัญญัติไปใช้ ดังนั้นกฎหมายวิธี สบัญญัติ ก็ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง หรือประมวลกฎหมายวิธีความอาญา กฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามกฎหมายบางฉบับก็มีลักษณะเป็นทั้ง กฎหมายสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติ เช่น กฎหมายล้มละลาย เป็นต้น กล่าวคือมีทั้งหลักเกณฑ์ที่เป็นองค์ประกอบของกฎหมายและมีสภาพบังคับและขณะเดียวกันก็มีวิธีการ ดำเนินคดีล้มละลายอยู่ด้วยในกฎหมายฉบับนั้น</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.1.4 การแบ่งตามความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน </strong>โดยแบ่งออกเป็น กฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(1) กฎหมายมหาชน(Public Law)</strong> อาจกล่าวได้ว่ากฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนในประเทศ ทั้งนี้ เป็นการ กระทำเพื่อความสงบสุขของสังคม หรือเพื่อการปกครองหรือบริหารปรเทศ เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายปกครอง กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เป็นต้น </span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>(2) กฎหมายเอกชน(Private Law)</strong> เป็นกรณีที่ไม่มีผลกระทบต่อสังคมโดยตรง แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากความสัมพันธ์กันระหว่างเอกชนด้วยกันเอง เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นเรื่องของการผิดสัญญา อันทำให้สามารถฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย<br />อย่างไรก็ต่าม กฎหมายบางฉบับก็อาจเป็นทั้งกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.2 กฎหมายระหว่างประเทศ(International Law)</strong> สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.2.1 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง (Public intertionnal law) </strong>มีนักนิติศาสตร์บางท่านมองว่ากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองนี้ไม่เป็น กฎหมายที่แท้จริง ทั้งนี้เพราะไม่มีสภาพบังคับ กล่าวคือไม่มีองค์กรที่มีอำนาจบังคับให้ปฏิบัติตามมติของสมัชชาใหญ่ หรือสังคมประชาชนชาติหรือตามคำพิพากษาของ ศาลโลก(International Court of Justice) แต่อย่างไรก็ตามได้มีนักนิติศาสตร์บางท่านก็มองว่ากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองนี้เป็นกฎหมาย เนื่องจากกฎหมายนี้เป็นกฎหมายข้อบังคับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่ต้องปฏิบัติต่อกันในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลระหว่างประเทศ</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.2.2 กฎหมายระหว่างปรเทศแผนกคดีบุคคล(Private international law) </strong>เป็นกฎหมายซึ่งกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนต่างรัฐกัน ในกรณีที่เกิด ปัญหาพิพาทกันย่อมเกิดปัญหาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับทำให้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยก็มีกฎหมายที่ เรียกว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย คอยเป็นตัวกำหนดว่าให้ใช้กฎหมายใดบังคับในกรณีที่มีการขัดแย้งกันดังกล่าว</span></p> <p><span class="Apple-style-span" ><strong>1.2.3 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา (International criminal law)</strong> เป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่รัฐตกลงให้ศาลในส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจ พิจารณาพิพากษาลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำผิดนอกประเทศได้ ทั้งนี้เพราะเป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจรัฐที่จะลงโทษได้ แต่อย่างไรก็ตามหากประเทศต่างๆ นั้นมีการทำสนธิสัญญา ส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย ก็สามารถส่งตัวผู้กระทำความผิดให้กลับมาถูกพิจารณาพิพากษายังประเทศไทยได้</span></p><p><span class="Apple-style-span" style="font-size: 16px; line-height: 24px; "></span></p><div><span class="Apple-style-span" style="line-height: 19px; font-size: 13px; "><p style="margin-top: 0.4em; margin-right: 0px; margin-bottom: 0.5em; margin-left: 0px; line-height: 1.5em; text-indent: 3em; "></p><p style="margin-top: 0.4em; margin-right: 0px; margin-bottom: 0.5em; margin-left: 0px; line-height: 1.5em; text-indent: 3em; "></p><p style="margin-top: 15px; margin-right: 0px; margin-bottom: 15px; margin-left: 0px; padding-top: 0px; padding-right: 0px; padding-bottom: 0px; padding-left: 0px; border-top-width: 0px; border-right-width: 0px; border-bottom-width: 0px; border-left-width: 0px; border-style: initial; border-color: initial; outline-width: 0px; outline-style: initial; outline-color: initial; font-size: 13px; vertical-align: baseline; background-image: initial; background-attachment: initial; background-origin: initial; background-clip: initial; background-color: transparent; "><span class="Apple-style-span" ><br /></span></p><p></p><p></p></span></div><p></p></td></tr></tbody></table>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-59445933721834748632010-09-15T07:26:00.000-07:002010-09-15T07:39:18.937-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvOlffobeL8WWGxymdsTlnKJBaiadzkGnv9-rSDgcRyYkh4-q-O2rayaVPRR8AegjApTI6-MO0JLWJTwr-klvoNb54BkWZl9yVcJNIKbngOy8CPTq8fJvXblNi4Y6a3c2Ql_m0RtKYebnS/s1600/220px-Abisit.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5517147537040615458" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 213px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvOlffobeL8WWGxymdsTlnKJBaiadzkGnv9-rSDgcRyYkh4-q-O2rayaVPRR8AegjApTI6-MO0JLWJTwr-klvoNb54BkWZl9yVcJNIKbngOy8CPTq8fJvXblNi4Y6a3c2Ql_m0RtKYebnS/s320/220px-Abisit.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><strong><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;">รัฐบาลไทย(คณะรัฐมนตรี)</span></strong></div><span style="color:#ffff66;"></span><br /><span style="color:#ffff66;"></span><br /><a title="คณะรัฐมนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">คณะรัฐมนตรี</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">คณะที่ 59 (</span><a title="17 ธันวาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/17_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">17 ธันวาคม</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> - ปัจจุบัน) หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม คณะรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ 1 (ครม. อภิสิทธิ์ 1) </span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_59_%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2#cite_note-0"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">[1]</span></a><br /><a title="อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> เป็น</span><a title="นายกรัฐมนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายกรัฐมนตรี</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ </span><a title="17 ธันวาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/17_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">17 ธันวาคม</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%8A"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ทรงลงพระปรมาภิไธยในประกาศ โดยมี</span><a title="ชัย ชิดชอบ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2_%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายชัย ชิดชอบ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="รายนามประธานรัฐสภาไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ประธาน</span></a><a title="สภาผู้แทนราษฎร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%81%E0%B8%97%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">สภาผู้แทนราษฎร</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ และในวันที่ </span><a title="20 ธันวาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/20_%E0%B8%98%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">20 ธันวาคม</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2551"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้ง</span><a title="คณะรัฐมนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B5"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">คณะรัฐมนตรี</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> โดยมี </span><a title="อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B0"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ</span></a><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ffff66;"> นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ<br /></span><br /></span><span style="font-family:arial;"></span><span style="color:#ffff66;"></span><br /><span style="color:#ffff66;"><br /></span><br /><div align="center"><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸à¸¥à¹:Abisit.jpg"></a><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#ffff66;"><strong>รายชื่อคณะรัฐมนตรี</strong></span></div><div align="center"><br /><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:courier new;"><span style="color:#ffff66;">นายกรัฐมนตรี<br />นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ<br />รองนายกรัฐมนตรี<br />นายสุเทพ เทือกสุบรรณ<br /> <br />นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี<br /><br />พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์<br /><br /> รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี<br />นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย<br />รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี<br />ินายองอาจ คล้ามไพบูลย์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ<br /><br /><br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง<br />นายกรณ์ จาติกวณิช<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง<br />นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์<br /><br />นายมั่น พัธโนทัย<br /><br /><br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ<br />นายกษิต ภิรมย์์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์<br />นายอิสสระ สมชัย<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา<br />นายชุมพล ศิลปอาชา<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br />นายธีระ วงศ์สมุทร<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br />นายศุภชัย โพธิ์สุ<br /><br /><br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม<br />นายโสภณ ซารัมย์<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม<br />นายสุชาติ โชคชัยวัฒนากร<br /><br />์นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร<br />นายจุติ ไกรกฤษ์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน<br />นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์<br />นางพรทิวา นาคาศัย<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์<br />นายอลงกรณ์ พลบุตร<br /><br /><br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย<br />นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย<br />นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย<br />นายถาวร เสนเนียม<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม<br />นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาคย์์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม<br />นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />นายวีระชัย วีระเมธีกุล<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />นายไชยยศ จิรเมธากร<br /><br />นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพัฒน์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />นายสุวิทย์ คุณกิตติ<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม<br />นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน<br />นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน<br />รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข<br />นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์<br />รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข<br />นางพรรณสิิริ กุลนาถศิริ</span><br /></span> </span><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸à¸¥à¹:Abisit.jpg"></a></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-59308056820547817442010-08-18T07:12:00.000-07:002010-08-18T07:30:50.305-07:00<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_hwrp2cvCI6UyZSvOldEi7paSi9Np4NqFFObUdKNvYORCG-IDDQMg1M8ygTH2dEMGBD2JK7aaOs3oEFXQ8_ryowRT3GxaN63hmrCbcN95Jt8DcgdMQ7WjN9twNvHw0iBC7EJUJbYm-tND/s1600/66403democracy_200.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506753263376530706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi_hwrp2cvCI6UyZSvOldEi7paSi9Np4NqFFObUdKNvYORCG-IDDQMg1M8ygTH2dEMGBD2JK7aaOs3oEFXQ8_ryowRT3GxaN63hmrCbcN95Jt8DcgdMQ7WjN9twNvHw0iBC7EJUJbYm-tND/s320/66403democracy_200.jpg" border="0" /></a><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:180%;"><br /><span style="color:#ffff66;">ระบบการบริหารราชการแผ่นดิน</span></span></strong></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประเทศทุกประเทศจะต้องจัดการเรื่องระเบียบการปกครอง การบริหารงานระหว่างรัฐกับประชาชน เพื่อให้เกิดความสงบสุขและความสะดวกให้แก่ประชาชน รัฐจึงออกกฎหมายการปกครองออกมาใช้บังคับประชาชน<br /> ความหมายของกฎหมายการปกครองในที่นี้ หมายถึง กฎหมายที่วางระเบียบการบริหารภายในประเทศ โดยวิธีการแบ่งอำนาจการบริหารงานตั้งแต่สูงสุดลงมาจนถึงระดับต่ำสุด เป็นการกำหนดอำนาจและหน้าที่ของราชการผู้ใช้อำนาจฝ่ายบริหาร<br /> โดยหลักทั่วไปทางวิชาการกฎหมายการปกครอง ได้จัดระเบียบการปกครองประเทศหรือที่เรียกว่า จัดระเบียบราชการบริหาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />การปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง (Centralization)<br />การปกครองแบบกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization)<br /> การปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง (Centralization) หมายถึง การจัดระเบียบการปกครอง โดยรวมอำนาจการปกครองทั้งหมดไว้ที่ส่วนกลาง พนักงานเจ้าหน้าที่ในส่วนกลางและต่างจังหวัดไดรับการแต่งตั้งถอดถอนและบังคับบัญชาจากส่วนกลางเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่ส่วนกลางกำหนดขึ้น เช่น การปกครองที่แบ่งส่วนราชการออกเป็น กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด เป็นต้น<br /> การปกครองแบบกระจายอำนาจปกครอง (Decentralization) หมายถึง การจัดระเบียบการ ปกครองโดยวิธีการยกฐานะท้องถิ่นหนึ่งขึ้นเป็นนิติบุคคลแล้วให้ท้องถิ่นนั้นดำเนินการปกครองตนเองอย่างอิสระโดยการบริหารส่วนกลางจะไม่เข้ามาบังคับบัญชาใด ๆ นอกจากคอยดูแลให้ท้องถิ่นนั้นดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ภายในขอบเขตของกฎหมายจัดตั้งท้องถิ่นเท่านั้น เช่น การปกครองของเทศบาลในจังหวัดต่าง ๆ เทศบาลกรุงเทพมหานคร หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นต้น<br /> กฎหมายการปกครองที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของประเทศไทย ได้ใช้รูปแบบการปกครอง ทั้งประเภทที่กล่าวมาแล้ว คือ ใช้ทั้งแบบรวมอำนาจและกระจายอำนาจ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับการปฎิบัติงานของราชการ ให้มีสมรรถภาพ การกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการต่างๆให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการปฎบัติงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างส่วนราชการต่างๆและเพื่อให้การบริหารในระดับต่างๆมีเอกภาพสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลกำหนดได้ดี<br /> ดังนั้น รัฐบาลจึงออกกฎหมายการปกครองขึ้นมา คือ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และฉบับที่ 5 พ.ศ.2545และพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 พอสรุปดังนี้<br /> ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือ กติกาที่ยอมรับเป็นบรรทัดฐาน เพื่อให้การบริหารราชการมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ<br /> กฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีที่มาจากแหล่งต่าง ๆ อันได้แก่ ขนบธรรม-เนียมการปกครอง รัฐธรรมนูญและความจำเป็นในการบริหารงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ<br />ระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง<br />ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค<br />ระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น </span></div><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;"><strong>การบริหารราชการส่วนกลาง</strong></span></div><div align="left"><span style="color:#ffff66;"> <span style="font-family:arial;">การบริหารราชการส่วนกลางหมายถึง หน่วยราชการจัดดำเนินการและบริหารโดยราชการของ ส่วนกลางที่มีอำนาจในการบริหารเพื่อสนองความต้องการของประชาชน จะมีลักษณะการปกครองแบบรวมอำนาจ หรือมีความหมายว่า เป็นการรวมอำนาจในการสั่งการ การกำหนดนโยบายการวางแผน การควบคุมตรวจสอบ และการบริหารราชการสำคัญ ๆ ไว้ที่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีและกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ตามหลักการรวมอำนาจ การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง จัดแบ่งออกได้ดังนี้<br />สำนักนายกรัฐมนตรี<br />กระทรวง หรือทบวงที่มีฐานะเทียบเท่า กระทรวง<br />ทบวง สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวง<br />กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นมีฐานะเป็นกรม ซึ่งสังกัดหรือไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง<br /> การจัดตั้ง ยุบ ยกเลิก หน่วยงาน ตามข้อ 1- 4 ดังกล่าวนี้ จะออกกฎหมายเป็น พระราชบัญญัติและมีฐานะเป็นนิติบุคคล<br /> ตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ได้จัดแบ่ง กระทรวง และส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกระทรวง รวม 20 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธรณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม<br /> สำนักนายกรัฐมนตรี มีฐานะเป็นกระทรวง อยู่ภายใต้การปกครองบังคับบัญชาของนากยรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นเครี่องของนากยรัฐมนตรีในเรื่องที่เป็นหัวใจของการบิหารราชการหรือเกี่ยวกับราชการทั่วไปของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี กิจการเกี่ยวกับการทำงบประมาณแผ่นดินและราชการอื่น ตามที่ได้มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักนายกรัฐมนตรี หรือส่วนราชการซึ่งสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือส่วนราชการอื่น ๆ ซึ่งมิได้อยู่ภายในอำนาจหน้าที่ของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งโดยเฉพาะ<br /> สำนักนายกรัฐมนตรีมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและกำหนดนโยบายของสำนักนายกรัฐมนตรีให้สอดคล้องกันนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักนายกรัฐมนตรี และจะให้มีรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีหรือทั้งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติก็ได้<br /> กระทรวง หมายถึง ส่วนราชการที่แบ่งออกเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่สุด รับผิดชอบงานที่กำหนดในพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งทำหน้าที่จัดทำนโยบายและแผน กำกับ เร่งรัด และติดตามนโยบาย และแผนการปฏิบัติราชการกระทรวง จะจัดระเบียบบริหารราชการโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มีสำนักนโยบายและแผนเป็นส่วนราชการภายในขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br /> กระทรวงหนึ่งๆมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและกำหนดนโยบายของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนัมัติและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกระทรวง และจะให้มีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งและปฏิบัติราชการก็ได้ ให้มีปลัดกระทรวงมีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมราชการประจะในกระทรวง เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการประจำในกระทรวงจากรับมนตรี โดยมีรองปลัดกระทรวงหรือผู้ช่วยปลัดกระทรวงเป็นผู้ช่วยสั่งการและปฏิบัติราชการแทน การจัดระเบียบราชการของกระทรวง ดังนี้<br />(1) สำนักงานเลขานุการรัฐมนตรี<br />(2) สำนักงานปลัดกระทรวง<br />(3) กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น เว้นแต่บางทบวงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกรมก็ได้<br /> ทบวง เป็นหน่วยงานที่เล็กกว่ากระทรวง แต่ใหญ่กว่า กรม ตามพ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 25 ว่า ราชการส่วนใดซึ่งโดยสภาพและปริมาณของงานไม่เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นกระทรสงหรือทบวง ซึ่งเทียบเท่ากระทรวงจะจัดตั้งเป็นทบวงสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีหรือกระทรวงเพื่อให้มีรัฐมนตรีว่าการทบวงเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและมีรัฐมนตรีช่วยว่าการทบวงและมีปลัดทบวง ซึ่งรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของทบวงก็ได้และมีอำนาจหน้าที่กำหนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม การจัดระเบียบราชการในทบวง มีดังนี้<br />(1) สำนักเลขานุการรัฐมนตรี<br />(2) สำนักงานปลัดทบวง<br />(3) กรมหรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นให้ส่วนราชการตาม (2) (3) มีฐานะเป็น กรม<br /> กรม หมายถึง เป็นส่วนราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงหรืออาจเป็นส่วนราชการอิสระไม่สังกัดกระทรวงหรือทบวงอยู่ใต้การบังคับบัญชา ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการทรวงคนใดคนหนึ่งให้แบ่งส่วนราชการดังนี้<br />(1) สำนักงานเลขานุการกรม<br />(2) กองหรือส่วนราชการที่มีฐานะเทียบกอง เว้นแต่บางกรมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นจะไม่แยกส่วนราชการตั้งขึ้นเป็นกองก็ได้<br /> กรมใดมีความจำเป็น จะแบ่งส่วนราชการโดยให้มีส่วนราชการอื่นนอกจาก (1) หรือ (2) ก็ได้ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา กรมมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการส่วนใดส่วนหนึ่งของกระทรวง หรือทบวงหรือทบวงตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการของกรมหรือตามกฏหมายว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมนั้น<br /> กรมมีอธิบดีเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของกรม ให้เป็นไปตามนโยบายแนวทางและแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง และในกรณีที่มีกฏหมายอื่นกำหนดอำนาจหน้าที่ของอธิบดีไว้เป็นการเฉพาะ การอำนาจและการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายดังกล่าวให้คำนึงถึงนโยบายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดหรืออนุมัติและแนวทางและแผนการปฏิบัติราชการของกระทรวง<br /> ปัจจุบันมีส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงหรือทบวง มี 9 ส่วนราชการมีฐานะเป็นกรม คือ สำนักพระราชวัง สำนักราชเลขาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ราชบัณฑิตยสถานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสำนักงานอัยการสูงสุดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม<br /> การปฏิบัติราชการแทน อำนาจในการสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติการปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการใดที่ผู้ดำดงตำแหน่งใดพึงปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ากฎหมายมิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้ ผู้ดำรงตำแหน่งนั้นอาจมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่น ปฏิบัติราชการแทนได้ดังตัวอย่าง<br />1. นายกรัฐมนตรีมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี<br />2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอาจมอบอำนาจให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัดผู้รับมอบจะมอบต่อไปไม่ได้เว้นแต่ผู้ว่าราชการจัวหวัดจะมอบต่อในจังหวัด อำเภอก็ได้<br /> การรักษาราชการแทน ผู้ที่ได้รับอำนาจจะมีอำนาจเต็มตามกฎหมายทุกประการ ตัวอย่าง<br />1.นายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการไม่ได้ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงรักษาราชการแทน<br />2. ไม่มีปลัดกระทรวงหรือมี แต่มาปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้รองปลัดฯ ข้าราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดีรักษาราชการแทน<br />3. ไม่มีอธิบดีหรือมีแต่มาปฏิบัติราชการไม่ได้ ให้รองอธิบดี ผู้อำนวยการกองรักษาราชการแทน เป็นต้น</span> </span></div><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;"><strong>การบริหารราชการส่วนภูมิภาค</strong></span></div><div align="left"><span style="color:#ffff66;"> <span style="font-family:arial;"> การบริหารราชการส่วนภูมิภาคหมายถึง หน่วยราชการของกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ซึ่งได้แบ่งแยกออกไปดำเนินการจัดทำตามเขตการปกครอง โดยมีเจ้าหน้าที่ของทางราชการส่วนกลาง ซึ่งได้รับแต่งตั้งออกไปประจำตามเขตการปกครองต่าง ๆ ในส่วนภูมิภาคเพื่อบริหารราชการภายใต้การบังคับบัญชาของราชการส่วนกลางโดยมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดเพราะถือเป็นเพียงการแบ่งอำนาจการปกครองออกมาจากการบริหารส่วนกลาง<br /> การบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นการบริหารราชการตามหลักการแบ่งอำนาจโดยส่วนกลางแบ่งอำนาจในการบริหารราชการให้แก่ภูมิภาค อันได้แก่จังหวัด มีอำนาจในการดำเนินกิจการในท้องที่แทนการบริหารราชการส่วนกลาง<br /> ลักษณะการแบ่งอำนาจให้แก่การบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึง การมอบอำนาจในการตัดสินใจ วินิจฉัย สั่งการให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ไปประจำปฏิบัติงานในภูมิภาค เจ้าหน้าที่ในว่าในภูมิภาคให้อำนาจบังคับบัญชาของส่วนกลางโดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งถอดถอนและงบประมาณซึ่งเป็นผลให้ส่วนภูมิภาคอยู่ใการควบคุมตรวจสอบจากส่วนกลางและส่วนกลางอาจเรียกอำนาจกลับคืนเมื่อใดก็ได้<br /> ดังนั้นในทางวิชาการเห็นว่าการปกครองราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจึงเป็นการปกครองแบบรวมอำนาจปกครอง<br />การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค จัดแบ่งออกได้ดังนี้<br /> 1. จังหวัด เป็นหน่วยราชการที่ปกครองส่วนภูมิภาคที่ใหญ่ที่สุด มีฐานะเป็นนิติบุคคลประกอบขึ้นด้วยอำเภอหลายอำเภอหลาย อำเภอ การตั้ง ยุบและเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด ให้ตราเป็นกฎหมายพระราชบัญญัติ<br /> ในจังหวัดหนึ่ง ๆ มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้รับนโยบายและคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล คณะรัฐมนตรี กระทรวง และกรม มาปฏิบัติการให้เหมาะสมกับท้องที่และประชาชนและเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในบรรดาข้าราชการฝ่านบริหารส่วนภูมิภาคในเขตจังหวัดที่รับผิดชอบ อาจจะมีรองผู้ว่าราชการจังหวัดหรือ ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งสังกัดกระทรวงมหาดไทย<br /> ผู้ว่าราชการจังหวัด มีคณะปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้นเรียกว่า คณะกรมการจังหวัดประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน รองผู้ว่าราชการจังหวัดหนึ่งคนตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบหมาย ปลัดจังหวัด อัยการจังหวัดซึ่งเป็นหัวหน้าที่ทำการอัยการจังหวัด รองผู้บังคับการตำรวจซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัดหรือผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัด แล้วแต่กรณีและหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดจากกระทรวงและทบวงต่าง ๆ เว้นแต่กระทรวงมหาดไทยซึ่งประจำอยู่ในจังหวัด กระทรวง และทบวงละหนึ่งคนเป็นกรมการจังหวัด และหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นกรมการจังหวัดและเลขานุการ<br />ให้แบ่งส่วนราชการของจังหวัด ดังนี้<br />(1) สำนักงานจังหวัด มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปและการวางแผนพัฒนาจังหวัดของจังหวัดนั้นมีหัวหน้าสำนักงานจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการของสำนักงานจังหวัด<br />(2) ส่วนต่าง ๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรม ได้ตั้งขึ้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวง กรมนั้นๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้นๆเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ<br /> 2. อำเภอ เป็นหน่วยราชการบริหารส่วนภูมิภาครองจากจังหวัด แต่ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลเหมือนจังหวัด การจัดตั้ง ยุบเลิกและเปลี่ยนแปลงเขตอำเภอ กระทำได้โดยตราเป็น พระราชกฤษฎีกา มีนายอำเภอเป็นหัวหน้าปกครองบังคับบัญชาข้าราชการในอำเภอ และรับผิดชอบการบริหารราชการของอำเภอ นายอำเภอสังกัดกระทรวงมหาดไทย และให้มีปลัดอำเภอและหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอซึ่งกระทรวงต่าง ๆส่งมาประจำให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือ การแบ่งส่วนราชการของอำเภอ มีดังนี้<br />(1) สำนักงานอำเภอ มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของอำเภอนั้น ๆ มีนายอำเภอเป็นผู้ปกครองบังคับบัญชาข้าราชการและรับผิดชอบ<br />(2) ส่วนต่าง ๆ ซึ่งกระทรวง ทบวง กรมได้ตั้งขึ้นในอำเภอนั้น มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการของกระทรวง ทบวงกรมนั้น ๆ มีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอนั้น ๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ </span></span></div><div align="center"><span style="color:#ffff66;"><span style="font-family:arial;font-size:180%;"><strong>การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น</strong></span> </span></div><div align="left"><span style="color:#ffff66;"><span style="font-family:arial;">การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นหมายถึง กิจกรรมบางอย่างซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้ท้องถิ่นจัดทำกันเอง เพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยเฉพาะโดยมีเจ้าหน้าที่ซึ่งราษฎรในท้องถิ่นเลือกตั้งขึ้นมาเป็นผู้ดำเนินงานโดยตรงและมีอิสระในการบริหารงาน<br /> อาจกล่าวได้ว่าการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เป็นการบริหารราชการตามหลักการกระจายอำนาจ กล่าวคือ เป็นการมอบอำนาจให้ประชาชนปกครองกันเอง เพื่อให้ประชาชนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และรู้จักการร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เป็นการแบ่งเบาภาระของส่วนกลาง และอาจยังประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนในท้องที่ได้มากกว่า เพราะประชาชนในท้องถิ่นย่อมรู้ปัญหาและความต้องการได้ดีกว่าผู้อื่น<br />การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่น มีดังนี้<br />องค์การบริหารส่วนจังหวัด<br />เทศบาล<br />สุขาภิบาล<br />ราชการส่วนท้องถิ่นอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด ได้แก่ สภาตำบลองค์การบริหารตำบลกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา</span> </span></div><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;"><strong>องค์การบริหารส่วนจังหวัด</strong></span></div><div align="left"><span style="color:#ffff66;"> <span style="font-family:arial;"> เป็นการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในจังหวัดที่อยู่นอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล มีฐานะเป็นนิติบุคคล ดำเนินกิจการส่วนจังหวัดแยกเป็นส่วนต่างหากจากการบริหารราชการส่วนภูมิภาคในรูปของจังหวัด ในจังหวัดหนึ่งจะมีองค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 แห่ง<br />องค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วย<br />สภาจังหวัด<br />ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้ดำเนินกิจการส่วนจังหวัด </span></span></div><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;"><strong>เทศบาล</strong></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">เป็นองค์การทางการเมืองที่ดำเนินกิจการอันเป็นผลประโยชน์ของประชาชนในเขตท้องถิ่นนั้น ๆ การจัดตั้งเทศบาลทำได้โดยการออกพระราชกฤษฎีกายกท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นเทศบาลตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แบ่งเทศบาลออกเป็น<br />1. เทศบาลตำบล เทศบาลประเภทนี้ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์การจัดตั้งไว้โดยเฉพาะ แต่อยู่ในดุลยพินิจของรัฐ<br />2. เทศบาลเมืองได้แก่ท้องถิ่นอันเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดหรือท้องถิ่นชุมชนที่มีราษฎรตั้งแต่ หนึ่งหมื่น คนขึ้นไป โดยมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร<br />3. เทศบาลนครได้แก่ท้องถิ่นที่มีประชาชนตั้งแต่ ห้าหมื่นคน ขึ้นไป และมีความหนาแน่นเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3,000 คน ต่อ 1 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมีเทศบาลนครเพียงแห่งเดียว คือ เทศบาลนครเชียงใหม่<br />องค์ประกอบของเทศบาล ประกอบด้วย<br /> 1. สภาเทศบาล ประกอบด้วยสมาชิกที่ประชาชนเลือกตั้งขึ้นมาเป็นผู้แทน ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของคณะเทศมนตรี<br /> 2. คณะเทศมนตรี ทำหน้าที่บริหารกิจการของเทศบาล มีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า การแต่งตั้งคณะเทศมนตรีกระทำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาเทศบาลเป็นคณะเทศมนตรี ด้วยความเห็นชอบของสภาเทศบาล<br /> 3. พนักงานเทศบาล เป็นผู้ปฏิบัติงานของเทศบาล โดยมีปลัดเทศบาลเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบในงานทั่วไปของเทศบาล<br />องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) คือ หน่วยการปกครองท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการส่วนท้องถิ่นโดยประชาชนมีอำนาจตัดสินใจในการบริหารงานของตำบลตามที่กฏหมายกำหนดไว้<br />อบต. ประกอบด้วย<br />1. สภาองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมี กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านและแพทย์ประจำตำบล ราษฎรหมู่บ้านละ 2 คน<br />2. คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตำบล ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 2 คนเลือกจากสมาชิกองค์การฯอีก 4 คน ประธานกรรมการบริหารและเลขานุการกรรมการบริหาร<br />อบต. มีหน้าที่ต้องทำในเขตอบต. ดังนี้<br />(1) ให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำและทางบก<br />(2) รักษาความสะอาดของถนน ทางน้ำ ทางเดินและที่สาธารณะรวมทั้งกำจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล<br />(3) ป้องภัยโรคและระงับโรคติดต่อ<br />(4) ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />(5) ส่งเสริมการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม<br />(6) ส่งเสริมการพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุและผู้พิการ<br />(7) คุ้มครอง ดูแลและบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม<br />(8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ทางราชการมอบหมาย</span> </div><div align="center"><strong><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;">การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ</span></strong> </div><div align="left"><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ffff66;">นอกเหนือจากหลักการโดยทั่วไปของการจัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในรูปที่กล่าวมาแล้ว รัฐบาลได้จัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับความสำคัญทางสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนเฉพาะแห่ง ปัจจุบันมีการจัดให้มีการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นรูปพิเศษ 2 แห่ง คือ<br />การบริหารราชการกรุงเทพมหานคร<br />การบริหารราชการเมืองพัทยา<br />การบริหารราชการกรุงเทพมหานคร<br /> พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 กำหนดให้กรุงเทพมหานครประกอบด้วย<br />ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร<br />สภากรุงเทพมหานคร<br /> ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารกรุงเทพมหานคร มีผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร 1 คน และรองผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร ไม่เกิน 4 คน ทั้งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และรองผู้ว่าราชการ กทม. เป็นข้าราชการการเมือง และได้รับเลือกตั้งจากประชาชนในกรุงเทพมหานคร<br /> สภา กทม. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ควบคุมการบริหารราชการของผู้ว่าราชการ กทม. สภา กทม. ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน โดยถือเกณฑ์จำนวนประชาชน 1 แสนคนต่อสมาชิก 1 คน<br /> ปลัดกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด และตามคำสั่งของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรับผิดชอบดูแลราชการประจำของกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจและหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของกรุงเทพมหานคร<br />การบริหารราชการเมืองพัทยา<br /> จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. 2521 เมืองพัทยามีฐานะเป็นนิติบุคคล ประกอบด้วย<br />สภาเมืองพัทยาประกอบด้วยสมาชิก 2 ประเภท คือ สมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งจากประชาชน จำนวน 9 คน และสมาชิกจากการแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำนวน 8 คนสภาเมืองพัทยา จะเลือกสมาชิกคนใดคนหนึ่งเป็นนายกเมืองพัทยา สภาเมืองพัทยาทำหน้าที่ด้านนโยบายและแผนการดำเนินงาน และควบคุมการปฏิบัติงานประจำของเมืองพัทยา<br />ปลัดเมืองพัทยามีหน้าที่บริหารกิจการเมืองพัทยาตามนโยบายของสภาเมืองพัทยา ปลัดเมืองพัทยามาจากการแต่งตั้งโดยสภาเมืองพัทยาตามที่นายกเมืองพัทยาเสนอผู้ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกสภาเมืองพัทยาอย่างน้อย 2 คน แต่ไม่เกิน 3 คน</span> </span></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-55211429437186439382010-08-18T06:51:00.000-07:002010-08-18T07:08:22.080-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimybOrfyh4VrvuG6YPxGDwHiU05dwafGyKqFL2TbZ54QZswetHN4dPTpk_LlwySm4Af3S17uG01fjLg1Nz3-eqfp4RvBeyr6yIn7x2slWDOHXOm0Q1SOHWTWHMIwAGwD_pH8px1ilLq3TU/s1600/Court.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506751384484275378" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 256px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEimybOrfyh4VrvuG6YPxGDwHiU05dwafGyKqFL2TbZ54QZswetHN4dPTpk_LlwySm4Af3S17uG01fjLg1Nz3-eqfp4RvBeyr6yIn7x2slWDOHXOm0Q1SOHWTWHMIwAGwD_pH8px1ilLq3TU/s320/Court.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ffff66;"><span style="font-family:arial;font-size:180%;">ศาลยุติธรรม</span> </span></span></div><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"></span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลยุติธรรม (The Court of Justice) เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง เว้นแต่คดีที่</span><a title="รัฐธรรมนูญ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รัà¸à¸à¸£à¸£à¸¡à¸à¸¹à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">รัฐธรรมนูญ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">หรือ</span><a title="กฎหมาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">กฎหมาย</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">บัญญัติให้อยู่ในอำนาจของศาลอื่น<br />ศาลยุติธรรมมี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา เว้นแต่ที่มีบัญญัติเป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายอื่น<br /></span><a title="ศาลชั้นต้น" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¸à¸±à¹à¸à¸à¹à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลชั้นต้น</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ได้แก่ </span><a title="ศาลแพ่ง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¹à¸à¹à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลแพ่ง</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งธนบุรี </span><a title="ศาลอาญา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลอาà¸à¸²"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลอาญา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี </span><a title="ศาลจังหวัด" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¸à¸±à¸à¸«à¸§à¸±à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลจังหวัด</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="ศาลแขวง" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¹à¸à¸§à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลแขวง</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> และศาลยุติธรรมอื่นที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลนั้นกำหนดให้เป็นศาลชั้นต้น เช่น </span><a class="new" title="ศาลเยาวชนและครอบครัว (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลเยาวชนและครอบครัว</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="ศาลแรงงาน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¹à¸£à¸à¸à¸²à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลแรงงาน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a class="mw-redirect" title="ศาลภาษีอากร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลภาษีอาà¸à¸£"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลภาษีอากร</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¸à¸£à¸±à¸à¸¢à¹à¸ªà¸´à¸à¸à¸²à¸à¸à¸±à¸à¸à¸²à¹à¸¥à¸°à¸à¸²à¸£à¸à¹à¸²à¸£à¸°à¸«à¸§à¹à¸²à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a class="new" title="ศาลล้มละลาย (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลล้มละลาย</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"><br /></span><a title="ศาลอุทธรณ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลอุà¸à¸à¸£à¸à¹"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลอุทธรณ์</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค<br /></span><a title="ศาลฎีกา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ศาลà¸à¸µà¸à¸²"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาลฎีกา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ซึ่งเป็นศาลยุติธรรมสูงสุด ที่มีอยู่เพียงศาลเดียว<br /><span style="font-size:180%;">สำนักงานศาลยุติธรรม</span><br />สำนักงานศาลยุติธรรม เป็น</span><a title="องค์กรอิสระ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อà¸à¸à¹à¸à¸£à¸­à¸´à¸ªà¸£à¸°"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">องค์กรอิสระ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ที่ดูแลงานธุรการของศาลยุติธรรม มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอิสระในการบริหารงานบุคคลการงบประมาณและการดำเนินการอื่น ตามที่กฎหมายบัญญัติ โดยมีเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานศาลฎีกา<br />การแต่งตั้งเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรมต้องได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม</span></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-76930711176035611222010-08-18T06:30:00.000-07:002010-08-18T06:45:35.323-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBXtGv3L_TM1ZpueBG2LkovsOAZKuKVq5FKljF2i52zfyebzu6IaG6loB1RpUEDCCA8Q9LLPNJzXvafPu0pvCP06WwPFBMvMadPfLQLakNutekz7HTUIZDHHnMqi-5P0vriZHLjB1GOZbT/s1600/images.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5506745449037050674" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 225px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBXtGv3L_TM1ZpueBG2LkovsOAZKuKVq5FKljF2i52zfyebzu6IaG6loB1RpUEDCCA8Q9LLPNJzXvafPu0pvCP06WwPFBMvMadPfLQLakNutekz7HTUIZDHHnMqi-5P0vriZHLjB1GOZbT/s320/images.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ffff66;"><strong>รัฐสภาไทย</strong></span><br /></div><div align="left"><a title="รัฐสภา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รัà¸à¸ªà¸ า"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">รัฐสภา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">แห่ง</span><a title="ประเทศไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ราชอาณาจักรไทย</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> เป็นสถาบันที่</span><a title="พระมหากษัตริย์ไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¸¡à¸«à¸²à¸à¸©à¸±à¸à¸£à¸´à¸¢à¹à¹à¸à¸¢"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระมหากษัตริย์ไทย</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระราชทานอำนาจให้เป็นผู้ออกกฎหมายสำหรับการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า </span><a title="อำนาจนิติบัญญัติ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อำà¸à¸²à¸à¸à¸´à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸à¸±à¸à¸´"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">อำนาจนิติบัญญัติ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รัà¸à¸à¸£à¸£à¸¡à¸à¸¹à¸à¹à¸«à¹à¸à¸£à¸²à¸à¸­à¸²à¸à¸²à¸à¸±à¸à¸£à¹à¸à¸¢_à¸à¸¸à¸à¸à¸¨à¸±à¸à¸£à¸²à¸_2550"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">บัญญัติให้รัฐสภา ประกอบด้วย </span><a title="วุฒิสภา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วุà¸à¸´à¸ªà¸ า"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">วุฒิสภา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">และ</span><a title="สภาผู้แทนราษฎร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สภาà¸à¸¹à¹à¹à¸à¸à¸£à¸²à¸©à¸à¸£"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">สภาผู้แทนราษฎร</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ซึ่งจะประชุมร่วมกัน หรือแยกกัน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา เป็นรองประธานรัฐสภา โดยตำแหน่ง</span></div><br /><div align="left"><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ffff66;"><strong>ประวัติรัฐสภาไทย</strong><br />รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ </span></span><a title="28 มิถุนายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/28_มิà¸à¸¸à¸à¸²à¸¢à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">28 มิถุนายน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2475" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸.ศ._2475"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2475</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ </span><a title="พระที่นั่งอนันตสมาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¸à¸µà¹à¸à¸±à¹à¸à¸­à¸à¸±à¸à¸à¸ªà¸¡à¸²à¸à¸¡"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระที่นั่งอนันตสมาคม</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง </span><a title="พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸ªà¸¡à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¹à¸à¸¥à¹à¸²à¹à¸à¹à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹à¸«à¸±à¸§"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา<br />ต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการ</span><a class="new" title="สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%A0%E0%B8%B2&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน<br />ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของ</span><a class="mw-redirect" title="พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸ªà¸¡à¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¹à¸²à¸­à¸¢à¸¹à¹à¸«à¸±à¸§à¸ ูมิà¸à¸¥à¸­à¸à¸¸à¸¥à¸¢à¹à¸à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย<br />สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ </span><a title="5 พฤศจิกายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/5_à¸à¸¤à¸¨à¸à¸´à¸à¸²à¸¢à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">5 พฤศจิกายน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2513" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸.ศ._2513"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2513</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ<br />หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง<br />หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา<br />หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา<br />สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ </span><a title="19 กันยายน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/19_à¸à¸±à¸à¸¢à¸²à¸¢à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">19 กันยายน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2517" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸.ศ._2517"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2517</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา<br />ประธานรัฐสภาไทย<br /></span><a title="รายนามประธานรัฐสภาไทย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/รายà¸à¸²à¸¡à¸à¸£à¸°à¸à¸²à¸à¸£à¸±à¸à¸ªà¸ าà¹à¸à¸¢"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">รายนามประธานรัฐสภาไทย</span></a><br /><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">จนถึงปัจจุบัน รัฐสภาไทย มีผู้ดำรงตำแหน่ง ประธานรัฐสภา รวม 28 คน ดังนี้<br />1. </span><a class="mw-redirect" title="เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸à¹à¸²à¸à¸£à¸°à¸¢à¸²à¸à¸£à¸£à¸¡à¸¨à¸±à¸à¸à¸´à¹à¸¡à¸à¸à¸£à¸µ"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />28 มิถุนายน - 1 กันยายน 2475<br />15 ธันวาคม 2475 - 26 กุมภาพันธ์ 2476<br />2. </span><a class="new" title="เจ้าพระยาพิชัยญาติ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">เจ้าพระยาพิชัยญาติ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />2 กันยายน 2475 - 10 ธันวาคม 2476<br />3. พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี (พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน)<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />26 กุมภาพันธ์ 2476 - 22 กันยายน 2477<br />6 กรกฎาคม 2486 -24 มิถุนายน 2487<br />ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา<br />31 สิงหาคม 2489 - 9 พฤษภาคม 2490<br />15 พฤษภาคม 2490 - 8 พฤศจิกายน 2490<br />4. </span><a class="mw-redirect" title="จิตร ณ สงขลา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸´à¸à¸£_à¸_สà¸à¸à¸¥à¸²"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">เจ้าพระยาศรีธรรมมาธิเบศ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> (จิตร ณ สงขลา)<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />22 กันยายน 2477 - 15 ธันวาคม 2477<br />17 ธันวาคม 2477 - 31 กรกฎาคม 2478<br />7 สิงหาคม 2478 - 31 กรกฎาคม 2479<br />ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />26 พฤศจิกายน 2490 - 18 กุมภาพันธ์ 2491<br />20 กุมภาพันธ์ 2491 - 14 มิถุนายน 2492<br />15 มิถุยายน 2492 - 20 พศจิกายน 2493<br />22 พฤศจิกายน 2493 - 29 พฤศจิกายน 2494<br />5. </span><a class="mw-redirect" title="พระยามานวราชเสวี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸°à¸¢à¸²à¸¡à¸²à¸à¸§à¸£à¸²à¸à¹à¸ªà¸§à¸µ"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พระยามานวราชเสวี</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> (วิเชียร ณ สงขลา) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />3 สิงหาคม 2479 - 10 ธันวาคม 2480<br />10 ธันวาคม 2480 -24 มิถุนายน 2481<br />28 มิถุยายน 2481 - 10 ธันวามคม 2481<br />12 ธันวาคม 2481 - 24 มิถุนายน 2482<br />28 มิถุนายน 2482 - 24 มิถุนายน 2483<br />1 กรกฎาคม 2483 - 24 มิถุนายน 2484<br />1 กรกฎาคม 2484 - 24 มิถุนายน 2485<br />30 มิถุนายน 2485 - 24 มิถุนายน 2586<br />2 กรกฎาคม 2487 - 24 มิถุนายน 2488<br />29 มิถุนายน 2488 - 15 ตุลาคม 2488<br />26 มกราคม 2489 - 9 พฤษภาคม 2489<br />6. พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา<br />4 มิถุนายน 2489 - 24 สิงหาคม 2489<br />7. พลเอก พระประจนปัจนึก (พุก มหาดิลก) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />1 ธันวาคม 2494 - 17 มีนาคม 2495<br />22 มีนาคม 2495 - 23 มิถุนายน 2495<br />28 มิถุนายน 2495 -23 มิถุนายน 2496<br />2 กรกฎาคม 2496 - 23 มิถุนายน 2497<br />29 มิถุนายน 2497 - 23 มิถุนายน 2498<br />2 กรกกาคม 2498 - 23 มิถุนายน 2499<br />30 มิถุนายน 2499 - 25 กุมภาพันธ์ 2500<br />16 มีนาคม 2500 - 23 มิถุนายน 2500<br />28 มิถุนายน 2500 - 16 กันยายน 2500<br />27 ธันวาคม 2500 - 23 มิถุนายน 2501<br />25 มิถุนายน 2501 - 20 ตุลาคม 2501<br />8. พลเอก หลวงสุทธิสารรณกร (สุทธิ์ สุทธิสารรณกร)<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />20 กันยายน 2500 - 14 ธันวาคม 2500<br />ประธานรัฐสภา ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ<br />6 กุมภาพันธ์ 2502 - 17 เมษายน 2511<br />9. </span><a title="ทวี บุณยเกตุ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸§à¸µ_à¸à¸¸à¸à¸¢à¹à¸à¸à¸¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายทวี บุณยเกตุ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ<br />8 พฤษภาคม2511 -20 มิถุนายน 2511<br />10. พันเอก นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />22 กรกฎาคม 2511 - 6 กรกฎาคม 2514<br />7 กรกฎาคม 2514 - 17 พฤศจิกายน 2514<br />11. พลตรีศิริ สิริโยธิน ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />18 ธันวามคม 2515 - 11 ธันวาคม 2516<br />12. </span><a class="mw-redirect" title="คึกฤทธิ์ ปราโมช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸¶à¸à¸¤à¸à¸à¸´à¹_à¸à¸£à¸²à¹à¸¡à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />29 ธันวาคม 2516 -7 ตุลาคม 2517<br />13. นายประภาศน์ อวยชัย ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />17 ตุลาคม 2517 - 25 มกราคม 2518<br />14. </span><a class="new" title="ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C_%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />7 กุมภาพันธ์ 2518 -12 มกราคม 2519<br />15. </span><a title="อุทัย พิมพ์ใจชน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อุà¸à¸±à¸¢_à¸à¸´à¸¡à¸à¹à¹à¸à¸à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายอุทัย พิมพ์ใจชน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร<br />19 เมษายน 2519 - 6 ตุลาคม 2519<br />6 กุมภาพันธ์ 2544 - 5 มกราคม 2548<br />16. พลอากาศเอก กมล เดชะตุงคะ ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและประธานรัฐสภา<br />22 ตุลาคม 2519 - 20 พฤศจิกายน 2519<br />17. พลอากาศเอก หะริน หุงสกุล<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน<br />28 พฤศจิกายน 2519 - 20 ตุลาคม 2520<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />25 พฤศจิกายน 2520 - 22 เมษายน 2522<br />ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />9 พฤษภาคม 2522 - 19 มีนาคม 2526<br />18. นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />26 เมษายน 2526 - 19 มีนาคม 2527<br />19. </span><a title="อุกฤษ มงคลนาวิน" href="http://th.wikipedia.org/wiki/อุà¸à¸¤à¸©_มà¸à¸à¸¥à¸à¸²à¸§à¸´à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาสตราจารย์อุกฤษ มงคลนาวิน</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"><br />ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />30 เมษายน 2527 - 30 เมษายน 2528<br />1 พฤษภาคม 2528 - 23 เมษายน 2530<br />24 เมษายน 2530 - 22 เมษายน 2532<br />3 เมษายน 2335 - 26 พฤษภาคม 2535<br />ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />2 เมษายน 2534 - 21 มีนาคม 2535<br />20. </span><a class="new" title="วรรณ ชันซื่อ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93_%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ร้อยตำรวจตรี วรรณ ชันซื่อ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />4 พฤษภาคม 2532 - 23 กุมภาพันธ์ 2534<br />21. </span><a title="มีชัย ฤชุพันธุ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/มีà¸à¸±à¸¢_ฤà¸à¸¸à¸à¸±à¸à¸à¸¸à¹"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายมีชัย ฤชุพันธุ์</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา<br />28 มิถุนายน 2535 - 29 มิถุนายน 2535<br />22. </span><a title="มารุต บุนนาค" href="http://th.wikipedia.org/wiki/มารุà¸_à¸à¸¸à¸à¸à¸²à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />22 กันยายน 2535 - 19 พฤษภาคม 2538<br />23. </span><a class="new" title="บุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD_%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />11 กรกฎาคม 2538 27 กันยายน 2538<br />24. </span><a title="วันมูหะมัดนอร์ มะทา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วัà¸à¸¡à¸¹à¸«à¸°à¸¡à¸±à¸à¸à¸­à¸£à¹_มะà¸à¸²"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />24 พฤศจิกายน 2539 - 27 มิถุนายน 2543<br />25. </span><a title="พิชัย รัตตกุล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸´à¸à¸±à¸¢_รัà¸à¸à¸à¸¸à¸¥"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายพิชัย รัตตกุล</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />30 มิถุนายน 2543 - 9 พฤศจิกายน 2543<br />26. </span><a title="โภคิน พลกุล" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸ à¸à¸´à¸_à¸à¸¥à¸à¸¸à¸¥"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายโภคิน พลกุล</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />8 มีนาคม 2548 - 24 กุมภาพันธ์ 2549<br />27. </span><a title="ยงยุทธ ติยะไพรัช" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ยà¸à¸¢à¸¸à¸à¸_à¸à¸´à¸¢à¸°à¹à¸à¸£à¸±à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายยงยุทธ ติยะไพรัช</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />23 มกราคม 2551 - เมษายน 2551<br />28. </span><a title="ชัย ชิดชอบ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸±à¸¢_à¸à¸´à¸à¸à¸­à¸"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">นายชัย ชิดชอบ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร<br />15 พฤษภาคม 2551 - (ปัจจุบัน)<br /></span><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ffff66;"><strong>อาคารรัฐสภาแห่งใหม่<br /></strong>วันที่ </span></span><a title="29 กรกฎาคม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/29_à¸à¸£à¸à¸à¸²à¸à¸¡"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">29 กรกฎาคม</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a title="พ.ศ. 2551" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸.ศ._2551"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2551</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ อนุมัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2552 เป็นเงิน 12,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บนพื้นที่ 119 ไร่ ริม</span><a title="แม่น้ำเจ้าพระยา" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸¡à¹à¸à¹à¸³à¹à¸à¹à¸²à¸à¸£à¸°à¸¢à¸²"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">แม่น้ำเจ้าพระยา</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> ย่าน</span><a class="new" title="เกียกกาย (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">เกียกกาย</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> โดยจะต้องย้ายหน่วยราชการที่อยู่ในบริเวณนั้น ประกอบด้วย </span><a title="โรงเรียนโยธินบูรณะ" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸£à¸à¹à¸£à¸µà¸¢à¸à¹à¸¢à¸à¸´à¸à¸à¸¹à¸£à¸à¸°"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">โรงเรียนโยธินบูรณะ</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> </span><a class="new" title="โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ช่างกล ขส.ทบ. (หน้านี้ไม่มี)" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B9%8C%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5_%E0%B8%82%E0%B8%AA.%E0%B8%97%E0%B8%9A.&action=edit&redlink=1"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ช่างกล ขส.ทบ.</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> และบ้านพักข้าราชการหทาร </span><a title="กรมราชองครักษ์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸¡à¸£à¸²à¸à¸­à¸à¸à¸£à¸±à¸à¸©à¹"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">กรมราชองครักษ์</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> โดย</span><a class="mw-redirect" title="สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร" href="http://th.wikipedia.org/wiki/สมà¹à¸à¹à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸£à¸¡à¹à¸­à¸£à¸ªà¸²à¸à¸´à¸£à¸²à¸_สยามมà¸à¸¸à¸à¸£à¸²à¸à¸à¸¸à¸¡à¸²à¸£"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร</span></a><span style="font-family:arial;color:#ffff66;"> เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553<br />โดยจะใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิน 900 วัน โดยคาดว่าจะเสร็จในต้นปี </span><a title="พ.ศ. 2556" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸.ศ._2556"><span style="font-family:arial;color:#ffff66;">พ.ศ. 2556</span></a> </div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-88323858922514212312010-07-14T07:45:00.000-07:002010-07-14T07:48:12.256-07:00<div align="center"><strong><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#66ff99;">นิทานเวตาล</span></strong></div><div align="center"><span style="color:#66ff99;"></span> </div><div align="center"><span style="color:#66ff99;"><span style="font-family:arial;font-size:180%;"><strong>นิทานเรื่องที่๒<br /></strong></span> พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาล เมื่อเสด็จไปถึงที่นั้น ทรงสอดส่ายพระเนตรดูโดยรอบในความมืดอันมีแสงไฟเรือง ๆ จากจิตกาธานส่องมา ในที่สุดก็พบศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้นดินกำลังกรนอยู่ จึงเข้าไปจับตัวศพนั้นซึ่งมีเวตาลสิงอยู่ตวัดขึ้นบนบ่า และรีบดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังที่ซึ่งนัดไว้กับโยคีศานติศีล เวตาลซึ่งแขวนอยู่บนบ่าก็เริ่มกล่าวทำลายความเงียบขึ้นว่า<br /> "โอ ราชะ ภาระที่พระองค์ต้องทนแบกไว้นี้ช่างสาหัสสากรรจ์เสียจริง ๆ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์เลย ถ้ากระไรข้าจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เพื่อจะได้ทรงเพลิดเพลิน ขอให้ทรงฟังเถิด"<br /> บนฝั่งของแม่น้ำยมุนา ณ ที่แห่งนั้น เป็นเขตคามที่กำหนดไว้สำหรับพวกพราหมณ์โดยเฉพาะ มีชื่อว่าหมู่บ้านพรหมสถล ในหมู่บ้านนี้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ มีชื่อว่า อัคนิสวามิน เป็นผู้ที่เจนจบในคัมภีร์พระเวททั้งปวง (คือคัมภีร์ไตรเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ต่อมาภายหลังได้เพิ่มเข้าไปอีกคัมภีร์หนึ่ง คืออถรรพเวท จึงเรียกว่า จตุรเวท) พราหมณ์ผู้นี้มีบุตรสาวแสนสวยผู้หนึ่งชื่อว่า มันทารวดี ความงามของนางล้ำเลิศหาที่เปรียบมิได้ราวกับเป็นผลงานที่พระพรหมทรงสรรค์สร้างขึ้น และเมื่อนางได้กำเนิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าท้าวธาดาเธอทรงสิ้นเยื่อใยในเทพอัปสรทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เมื่อนางเจริญวัยเป็นสาวแรกรุ่นนั้นปรากฏว่ามีพราหมณ์หนุ่มสามคนเดินทางมาจากแคว้นกันยกุพชะ พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวงเท่าเทียมกัน และพราหมณ์แต่ละคนก็มุ่งมาสู่ขอมันทารวดีโฉมงามจากบิดาของนาง ต่างคนต่างก็สาบานว่าถ้านางแต่งงานกับคนอื่น ตนก็จะฆ่าตัวตาย แต่บิดาของนางก็มิได้ยกนางให้แก่ใคร เพราะเกรงว่าถ้ายกให้คนหนึ่ง อีกสองคนก็จะฆ่าตัวตายเสีย ดังนั้นนางจึงคงอยู่เป็นโสดเรื่อยมามิได้คิดแต่งงานกับใคร และพราหมณ์ทั้งสามก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ทั้งกลางวันและกลางคืนก็เฝ้าแต่มองดูพักตร์ของนางอันงามเปล่งปลั่งราวกับสมบูรณจันทร์ (พระจันทร์เต็มดวง) ต่างก็ไม่ได้กินไม่ได้นอน ทำตนราวกับนกจโกระ (นกเขาไฟ ตามนิยายโบราณกล่าวว่า "ยังชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์") ซึ่งอาศัยแสงจันทร์เป็นอาหารฉะนั้น<br /> ต่อมานางมันทารวดีล้มป่วยเป็นไข้อย่างรุนแรง นางมิอาจจะทนทานต่อพิษไข้ได้ก็ถึงแก่ความตาย พราหมณ์หนุ่มทั้งสามมีความเศร้าโศกอย่างยิ่ง นำร่างอันเป็นศพของนางไปสู่ป่าช้า สวดให้แก่นางด้วยความรักและเผาศพนางที่จิตกาธาน พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งสร้างกระท่อมน้อยขึ้นตรงที่ใกล้ เอาเถ้าถ่านอังคารของนางมาโปรยลงบนเตียงและนอนทับบนพื้น เขายังชีพไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยการถือกะลาขออาหารกินตามมีตามเกิด พราหมณ์คนที่สองรวบรวมกระดูกของนางเอาไปทิ้งในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพราหมณ์คนที่สามถือเพศเป็นโยคีท่องเที่ยวพเนจรไปยังดินแดนต่าง ๆ<br /> โยคีเดินทางผ่านแว่นแคว้นต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อวัชรโลก จึงเข้าไปภิกขาจารที่บ้านพราหมณ์ผู้หนึ่ง ท่านพราหมณ์ได้ต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยอันดียิ่ง เขาจึงนั่งบริโภคอาหารในบ้านพราหมณ์ผู้นั้น ขณะนั้นมีเสียงทารกร้องจ้าขึ้นมาและร้องติดต่อกันไม่หยุด ไม่มีใครจะห้ามให้หยุดได้ นางพราหมณีผู้เป็นมารดาบันดาลโทสะจึงจับทารกขึ้นมาแล้วโยนโครมลงไปในกองไฟ เด็กถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน โยคีผู้นั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ตกใจ รู้สึกสยดสยองจนขนหัวลุกชัน ร้องออกมาว่า "พุทโธ่ พุทโธ่เอ๋ย นี่ข้าเข้ามาในบ้านของพราหมณ์รากษสหรือนี่ ข้าไม่กินอะไรแล้ว เพราะการเสพอาหารในบ้านของพราหมณ์ปีศาจเช่นนี้เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม"<br /> ขณะเมื่อเขากล่าวดังนี้ พราหมณ์ผู้คฤหบดี (เจ้าของบ้าน) จึงพูดว่า<br /> "อย่าตกอกตกใจไปเลย ท่านจงคอยดู ข้าจะชุบชีวิตเด็กคนนี้ขึ้นใหม่ โดยการร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ดูสิ"<br /> เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว มหาพราหมณ์ก็เดินไปหยิบคัมภีร์มหาเวทอันศักดิ์สิทธิ์มาเปิดออกแล้วสวดมนตร์บทหนึ่ง ขณะที่สวดอยู่ก็เอาขี้เถ้าโปรยลงในกองไฟ พอสวดจบลง เด็กก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ มีลักษณะและองคาพยพ (อวัยวะ) เหมือนเดิมทุกประการ พราหมณ์อาคันตุกะเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นก็ค่อยคลายใจ ลงมือเสพอาหารต่อไปตามปกติ พราหมณ์เจ้าของบ้านเมื่อร่ายมนตร์เสร็จแล้ว ก็เอาคัมภีร์ไปเก็บไว้ที่เดิม ลงมือกินอาหารเสร็จแล้วก็เข้านอนในราตรี พราหมณ์อาคันตุกะก็กระทำเช่นเดียวกัน<br /> พอเห็นพราหมณ์เจ้าของบ้านและภรรยานอนหลับแล้ว โยคีหนุ่มก็ลุกขึ้นค่อย ๆ ย่องไปที่เก็บคัมภีร์และหยิบเอาไป ตั้งใจจะเอาไปใช้ชุบชีวิตให้แก่นางมันทารวดีผู้เป็นที่รัก โยคีหนุ่มออกจากบ้านนั้นไปพร้อมด้วยคัมภีร์มหาเวท รีบเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งกลับไปยังสุสานที่ตนและพรรคพวกช่วยกันเผาศพนางครั้งนั้น พอมาถึงป่าช้าก็แลเห็นพราหมณ์คนที่สองเดินทางกลับมาแล้วหลังจากที่เอาอัฐิของนางไปโยนแม่น้ำคงคาเพื่อให้นางไปสู่สุคติ และที่สุสานนั้นเช่นกันก็แลเห็นพราหมณ์ผู้เอาอังคารธาตุของนางมาโปรยนอน กำลังหลับอยู่ในกระท่อมที่สร้างไว้ จึงพูดกับพราหมณ์สหายให้รื้อกระท่อมทิ้งเสีย เพื่อตนจะได้ทำพิธีร่ายมนตร์มฤตสัญชีวินี (มนตร์ชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต พระศุกร์ได้มาจากพระศิวะและสืบต่อกันมาถึงคนรุ่นหลัง) ชุบชีวิตนางขึ้นใหม่ เมื่อรื้อกระท่อมทิ้งแล้วเถ้าถ่านของนางก็ตกเรี่ยรายอยู่บนพื้นดิน โยคีหนุ่มเมื่อเห็นทุกสิ่งพร้อมแล้วก็เปิดคัมภีร์ร่ายมนตร์อันศิกดิ์สิทธิ์พร้อมกับโปรยฝุ่นลงไปบนพื้นดินผสมผสานกับเถ้าถ่าน มินานพอจบมนตร์ดังกล่าวก็ปรากฎร่างนางมันทารวดีขึ้นในกองไฟ นางก้าวออกมาจากกองไฟพิธีด้วยรูปโฉมอันเปล่งปลั่งงดงามยิ่งกว่าเดิม ราวกับทองคำที่ถูกไฟชำระแล้วมีความสุกปลั่งผุดผ่องฉะนั้น<br /> เมื่อพราหมณ์ทั้งสามแลเห็นนางมันทารวดีผู้งามเฉิดฉายราวเทพอัปสรปรากฏเฉพาะหน้า ต่างคนต่างก็แทบจะคลั่งตายเพราะความรัก และต่างก็ทุ่มเถียงแก่งแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวนางด้วยกัน ไม่มีใครยอมเสียสละแก่กัน พราหมณ์ผู้เป็นโยคีกล่าวว่า "นางต้องเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนร่ายมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ชุบนางขึ้นมาจากความตาย ข้าย่อมมีสิทธิ์ในตัวนาง" พราหมณ์คนที่สองเถียงว่า "นางควรเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนเอาอัฐิของนางไปโปรยลงในแม่น้ำคงคา ทำให้นางสะอาดบริสุทธิ์ด้วยสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น" และพราหมณ์คนที่สามก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่อมั่นเต็มที่ว่า "ข้าเท่านั้นที่ควรจะได้นางเป็นภรรยา เพราะข้าเอาเถ้าถ่านของนางมาเก็บไว้และบำเพ็ญตบะเพื่อนางทุกวัน"<br /> "โอ ราชะ" เวตาลกล่าวยิ้ม ๆ "โปรดตัดสินทีเถอะ ว่าในสามคนนี้นางควรจะเป็นของใคร ถ้าพระองค์รู้แล้วแกล้งไม่ตอบ พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกเป็นเสี่ยง ๆ"<br /> ฝ่ายพระเจ้าตริวิกรมเสนเมื่อได้ยินเวตาลพูดดังนั้นจึงตรัสว่า "ชายคนที่ร่ายมนตร์ทำให้นางคืนชีวิตขึ้นมานั้น ถึงแม้เขาจะต้องใช้ความสามารถและลำบากลำบนปานใด ก็ควรจะเป็นพ่อของนางเท่านั้น และพราหมณ์คนที่เอาอัฐิของนางไปสู่แม่น้ำคงคาก็ควรจะถือว่าเป็นลูกของนางอย่างเดียว ส่วนพราหมณ์ที่เก็บเถ้าถ่านของนางและคงอยู่ที่ป่าช้าถึงกับสร้างที่อยู่ตรงที่เผาศพนาง และบำเพ็ญตบะเพื่อนางนั่นต่างหาก ควรจะได้เป็นสามีของนางโดยแท้ เพราะเขาอยู่กับนางตลอดเวลามิได้ทอดทิ้งนางไปไหน แสดงความรักอันดื่มด่ำต่อนางแม้เพียงนอนบนเถ้าธุลีของนางโดยมิได้รังเกียจ"<br /> เมื่อเวตาลได้ฟังพระเจ้าตริวิกรมเสนตรัส ดังนั้น เป็นการละเมิดสัญญาที่ตกลงกัน จึงอันตรธานจากบ่าของพระราชากลับไปที่อยู่ของตน แต่พระราชาก็ต้องทนลำบากติดตามหาตัวมันอีก ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงถือมั่นในสัจจะที่ให้ไว้แก่โยคีศานติศีล และบุคคลที่มีสัจจะเช่นพระองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมจะปฏิบัติเหมือนกันหมด คือต้องทำภาระของตนให้สำเร็จลุล่วงไป ไม่ว่าจะต้องทนลำบากแม้ใหญ่หลวงเพียงไร</span></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-89451197335053460042010-07-14T07:42:00.000-07:002010-07-14T07:45:06.815-07:00<div align="center"> </div><div align="center"><strong><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#cc66cc;">นิทานเวตาล</span></strong></div><div align="center"><strong><span style="font-size:180%;"><span style="font-family:arial;color:#cc66cc;">นิทานเรื่องที่๑</span><br /></span></strong> <span style="color:#ff99ff;">แต่โบราณกาล มีเมืองหนึ่งชื่อพาราณสี อันเป็นที่กล่าวกันว่าเป็นที่ประทับของพระศิวะผู้เป็นเจ้าเพราะเมืองนี้เป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ในศาสนา ซึ่งเปรียบเหมือนภูเขาไกรลาสอันเป็นที่ชุมนุมของทวยเทพ แม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์มีน้ำเปี่ยมฝั่งตลอดกาลไหลเลียบพระนครนี้ ทำให้ดูเสมือนสร้อยแก้วมณีอันบรรเจิดที่คล้องเอาไว้โดยรอบ<br /> ที่พระนครพาราณสีนี้ มีพระราชาองค์หนึ่งทรงนามว่า พระเจ้าประตาปมกุฏปกครองอยู่ พระองค์เป็นผู้เลิศด้วยเดชานุภาพ สามารถปราบปรามเหล่าอริราชศัตรูได้ราบคาบราวกับกองอัคนีที่เผาผลาญป่าใหญ่ให้วอดวาย ฉะนั้นพระองค์มีราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ วัชรมกุฏ ผู้ทรงโฉมอันงามยอดยิ่งเพียงดังจะเย้ยกามเทพให้ได้อาย เจ้าชายมีสหายผู้หนึ่งชื่อพุทธิศรีระ ซึ่งทรงรักและตีราคาคุณค่าของเขาเท่ากับชีวิตของพระองค์นั่นเทียว แลพุทธิศรีระนั้นเป็นบุตรมนตรีผู้ใหญ่ของพระราชา<br /> สมัยหนึ่งเจ้าชายกับพระสหายพากันแสวงหาความบันเทิงสุขโดยการขี่ม้าประพาสป่าไล่ล่าสิงโตอย่างสนุก ทรงยิงธนูตัดสร้อยคอของสีหะเหล่านั้น อันมีลักษณะดังแส้จามรีของมันขาดกระจุย ในที่สุดเสด็จมาถึงป่าใหญ่แห่งหนึ่งที่นั้นมีความงดงามรื่นรมย์ราวกับอุทยานของกามเทพ มีเสียงนกดุเหว่าวิเวกแว่วอ่อนหวาน ผสมผสานมากับสายลมที่แผ่วรำเพยมาจากแนวพฤกษ์อันมีดอกบานสะพรั่งทุกกิ่งก้านกวัดไกวไปมา ระหว่างทิวไม้อันคดโค้งในเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบซึ่งมีน้ำอันใสเขียวดังมรกตและมีระลอกน้อย ๆ วิ่งไล่กันเข้าสู่ฝั่งมิได้ ขาด กลางบึงใหญ่มีกอบัวอันสลับสล้างด้วยสีสันวรรณะต่าง ๆ อย่างงดงาม ณ ที่นั้น เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นนารีนางหนึ่งมีรูปโฉมงดงามดังเทพอัปสร ลงเล่นน้ำอยู่พร้อมด้วยคณานางผู้เป็นบริวาร นางมีพักตร์อันงามดังสมบูรณจันทร์ อันทำให้เศวโตตบล (บัวสายสีขาว) ทั้งหลายต้องได้อาย เพียงได้แลเห็นนางครั้งแรก เจ้าชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนว่านางได้คร่าเอาดวงหทัยของพระองค์ไปเสียแล้วด้วยเสน่ห์อันลึกซึ้งของนาง แลนางนั้นกำลัง เพลิดเพลินอยู่ด้วยการเล่นน้ำจนมิทันระวัง อาภรณ์ที่หลุดร่วงจากอุระ ขณะที่เจ้าชายและสหายกำลังจ้องดูนางอยู่<br /> ด้วยความสงสัยว่านางเป็นใครนั้น ก็พอดีนางเหลือบมาเห็นเข้า นางเมินหน้าหนีด้วยความอาย แต่แล้วกลับแสดงท่าทีเป็นนัย ๆ ให้ทราบว่านางเป็นใครมาจากไหน นางเด็ดดอกบัวออกจากมาลาที่สวมศีรษะนางดอกหนึ่งเอาทัดหูไว้ นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอาดอกบัวออกจากหู บิดให้เป็นรูปเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่เรียกว่า ทันตบัตร (แผ่นฟันเป็นรูปอาภรณ์ชนิดหนึ่ง) จากนั้นนางหยิบดอกบัวอีกดอกหนึ่งขึ้นวางบนศีรษะ และเอามือปิดอุระไว้ตรงหัวใจนาง เจ้าชายมองดูอากัปกิริยาของนางอย่างไม่เข้าใจ แต่สหายผู้เป็นบุตรมนตรีเข้าใจโดยตลอด นางโฉมงามนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นจากน้ำแวดล้อมด้วยบริวารเดินทางกลับไปยังนิวาสสถานของนาง<br /> เมื่อนางเข้าในบ้านก็ล้มตัวลงบนที่นอน มีใจอันเต้นระทึกคิดถึงเจ้าชายด้วยความสงสัยว่าพระองค์จะเข้าใจสัญญาณของนางหรือไม่ ส่วนเจ้าชายวัชรมกุฏ เมื่อมิได้เห็นนางอีกแล้วก็เปรียบเหมือนวิทยาธรที่สิ้นไร้ซึ่งมนตร์วิเศษ เมื่อเสด็จกลับถึงพระนครก็มีแต่จิตประหวัดคิดถึงนางอยู่มิรู้วาย ทรงตกอยู่ในอารมณ์รันทด มีแต่ความเศร้าสร้อยอาวรณ์หาแต่นางผู้เดียว วันหนึ่งบุตรมนตรีเข้ามาเฝ้าและสนทนากันด้วยเรื่องต่าง ๆ พุทธิศรีระบุตรมนตรี ได้ถามเจ้าชายผู้เป็นสหายว่ามีความคิดอย่างไรเรื่องนางงามที่พบที่ทะเลสาบ ในความคิดของตนเห็นว่านางนั้นอาจจะติดต่อได้ง่ายกว่าที่คิดเพราะทุกอย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย<br /> เจ้าชายได้ฟังก็พลุ่งขึ้นมาว่า “เจ้าพูดได้อย่างไรว่าเข้าหาไม่ยากเลย ข้าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของนาง ที่ซึ่งนางอยู่ หรือแม้แต่หัวนอนปลาย ตีนของนางทั้งสิ้น เจ้าชางกวนโมโหข้าเสียจริง”<br /> เมื่อเจ้าชายตรัสดังนี้ พุทธิศรีระก็ถึงกับอ้าปากค้าง กล่าวว่า “อะไรนะ พระองค์ไม่ทราบได้อย่างไรในเมื่อนางให้สัญญาณออกโจ่งแจ้งอย่างนั้น ก็เมื่อนางเอาดอกบัวทัดที่หู นางหมายจะบอกพระองค์ว่า ‘ฉันอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชานาม กรรโณตบล’ (ผู้มีดอกกบัวประดับที่หู) เมื่อนางบิดกลับบัวเป็นอาภรณ์ทันตบัตร นางหมายความว่า ‘จงรู้เถิดว่าฉันเป็นลูกของทัตแพทย์ที่เมืองนั้น’ การที่นางหยิบดอกบัวขึ้นชูบนศีรษะว่า นางชื่อปัทมาวดี และการที่นางเอามือทาบหทัยประเทศก็หมายความว่า พระองค์สถิตอยู่ในหัวใจของนางแล้วนั่นเอง พระองค์ไม่รู้หรือว่าพระราชากรรโณตบลนั้นเป็น กษัตริย์แห่งแคว้นกลิงคะ และมีพระสหายที่โปรดปรานคนหนึ่งเป็นหมอฟันชื่อสงครามวรรธน์ ก็ชายผู้นี้แหละ มีลูกสาวชื่อ ปัทมาวดี ผู้เป็นมุกดาแห่งโลกทั้งสาม และบิดาของนางตีราคานางเท่ากับชีวิตของเขานั่นเทียว<br /> เรื่องราวเหล่านี้ข้าพเจ้าทราบจากคำคนเขาพูดกันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตีความหมายของนางได้ถูก ต้องไม่ว่านางจะแสดงท่าทีอย่างไร<br /> เมื่อราชบุตรได้ฟังคำเฉลยอันแจ่มแจ้งของบุตรมนตรีดังนี้ ก็มีใจปลอดโปร่งสิ้นความกังวลวิตก มีใบหน้าอันแช่มชื่นขึ้นทันที และเห็นโอกาสที่จะไปหานางอันเป็นที่รักได้โดยง่าย จึงจัดการเสด็จอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยบุตรมนตรี โดยแสร้งทำเป็นว่าจะไปล่าสัตว์แล้วมุ่งไปหานางโดยทันทีตามเส้นทางเดิม พอมาถึงกลางทาง เจ้าชายก็กระตุ้นม้าเผ่นโผนไปด้วยความเร็วจนข้าราชบริพารตามไม่ทัน แล้วมุ่งหน้าไปยังแคว้นกลิงคะพร้อม ด้วยบุตรมนตรีตามเสด็จอย่างใกล้ชิด ณ ที่นั้นชายหนุ่มทั้งสองก็มุ่งไปยังพระนครของพระราชากรรโณตบล แล้วสืบเสาะจนพบคฤหาสน์หลังงามของทันตแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าชายและพระสหายแวะเข้าไปสู่บ้านของหญิง ชราผู้หนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับคฤหาสน์นั้น พุทธิศรีระจัดการให้หญ้าให้น้ำแก่ม้าทั้งสองตัว แล้วเอาไปซ่อนในที่ ลับตา จากนั้นก็กล่าวแก่หญิงชราต่อพระพักตร์ของเจ้าชายว่า “คุณแม่ ท่านเคยรู้จักหมอฟันชื่อ สงครามวรรธน์บ้างหรือ”<br /> พอนางได้ฟังถ้อยคำดังนั้น ก็กล่าวแก่ชายหนุ่มอย่างอ่อนน้อมว่า “แม่รู้จักเขาดีทีเดียว ก็แม่นี่แหละเคยเป็นแม่นมของเขา เดี๋ยวนี้เขาให้แม่เป็นคนดูแลลูกสาวของเขาแล้ว แต่แม่ก็ไม่ได้เข้าไปที่บ้านใหญ่นั่นหรอก เพราะไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ จะแต่ง มีแต่ชุดปอน ๆ นี่จะใส่ไปก็อายเขา ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะอ้ายลูกชายชาติชั่ว มันเล่นการพนันหมดเนื้อหมดตัว ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว มันเห็นเสื้อผ้าสวย ๆ ของแม่มีอยู่ มันก็ขนเอาไปจนหมด” เมื่อบุตรมนตรีได้ฟังดังนั้นก็ยินดี แลเห็นช่องทางโดยตลอด จึงถอดสร้อยสังวาลออกมอบให้นางพร้อมด้วยของขวัญอีกหลายอย่าง ทำให้นางปลาบปลื้มเป็นอันมาก บุตรมนตรีเห็นได้โอกาสจึงกล่าวแก่นางว่า<br /> “คุณแม่จงเป็นแม่ของพวกเราเถิด ตอนนี้ฉันมีความลับอย่างหนึ่งที่จะบอกคุณแม่ และขอให้คุณแม่ช่วยสงเคราะห์ด้วย ให้คุณแม่ไปหานางปัทมาวดี ลูกหมอฟันและกล่าวแก่นางว่า เจ้าชายที่เจ้าเห็นที่ทะเลสาบนั้น บัดนี้มาถึงแล้ว และเพราะความรักของเขาที่มีต่อเจ้าอย่างท่วมท้น เขาจึงรีบให้แม่มาบอกเจ้า”<br /> เมื่อหญิงชราได้ฟังดังนั้นก็ตอบตกลง เพราะได้ลาภสักการมาไว้แล้วอย่างเต็มที่ รีบกระวีกระวาดเข้าไปพบนางปัทมาวดีในปราสาท และกลับมาในเวลาเพียงชั่วครู่ เจ้าชายและพระสหายเห็นนางกลับมาก็ถามเรื่องราวโดยทันที นางได้ฟังก็ตอบว่า “แม่ไปพบนางอย่างลับ ๆ และแจ้งข่าวแก่นางว่าเจ้ามาถึงแล้ว พอนางฟังจบก็ด่าข้ายกใหญ่ มิหนำซ้ำยังตบหน้าข้าทั้งสองข้างข้างละทีด้วยฝ่ามือที่ทาด้วยการบูร แล้วไล่ข้ากลับมา นางทำให้ข้าต้องร้องไห้ด้วยความเสียใจเพราะถูกดูหมิ่นอย่างคาดไม่ถึง นี่ไงล่ะ ลูกเอ๋ย รอยที่นางตบข้ายังเป็นผื่นห้านิ้วอยู่เลยเห็นไหม”<br /> เมื่อได้ฟังดังนี้ เจ้าชายก็รู้สึกเป็นทุกข์เพราะความผิดหวังยิ่งนัก แต่บุตรมนตรีผู้ฉลาดได้กล่าวปลอบโยนว่า “อย่าทรงเศร้าโศกไปเลยพระเจ้าข้า ที่นางทำอย่างนี้เป็นแต่เพียงปริศนาเท่านั้นหรอก การที่นางบริภาษแม่เฒ่าและตบหน้าทั้งสองแก้มด้วยมือทาการบูรทั้งสิบนิ้วเป็นรอยสีขาวอย่างนั้นก็เพราะนางต้องการจะตอบเป็นนัย ๆ ว่าให้พระองค์ทรงรออีกสิบวันข้างขึ้น เพราะระหว่างนี้เป็นวันที่ฤกษ์ไม่ดี”<br /> หลังจากที่บุตรมนตรีกล่าวปลอบโยนเจ้าราชบุตรดังนี้แล้ว บุตรมนตรีก็ออกไปตลาด แอบเอาเครื่องทองหยองออกขายอย่างลับ ๆ เอาเงินมาให้แม่เฒ่าไปทำอาหารอย่างดีเลิศมากินกันทั้งสามคน หลังจากนั้นเมื่อรอมาครบสิบวัน บุตรมนตรีก็ส่งแม่เฒ่าไปพบนางปัทมาวดีอีกเพื่อดูว่านางจะว่าอย่างไร ฝ่ายหญิงชราหลังจากที่ถูกปรนเปรอด้วยเหล้ายาปลาปิ้งและอาหารนานารสอย่างอิ่มหมีพีมันแล้วก็มีกำลังใจยอมช่วยเหลือเต็มที่ นางเดินทางไปหานางปัทมาวดีอีกครั้งเพื่อเอาใจแขกทั้งสอง นางไปแล้วมิช้าก็กลับมากล่าวแก่ชายทั้งสองว่า “แม่ไปมาแล้ว และไม่ทันได้พูดอะไร แต่นางกลับเยาะเย้ยแม่ว่าทำเป็นแม่สื่อดีนัก นางเอามือที่ทาชาดมาแปะหน้าอกข้าเป็นรอยนิ้วมือสามนิ้ว ข้าจึงกลับมายังเจ้าพร้อมด้วยรอยนิ้วมือของนางนี่แหละ”<br /> เมื่อบุตรมนตรีได้ฟังและพิเคราะห์ด้วยความฉลาดก็ทูลเจ้าชายให้สงบพระทัย และไตร่ตรองในปริศนาของนาง ซึ่งตนเห็นว่าไม่ลี้ลับอะไรเลย “นางต้องการจะบอกให้ทราบว่า นางยังไม่ว่างที่จะพบใครในสามวันนี้” บุตรมนตรีเฉลยปัญหาอย่างมั่นใจ<br /> หลังจากนั้นอีกสามวัน พุทธิศรีระก็ส่งหญิงเฒ่าไปหานางปัทมาวดีอีก คราวนี้นางปัทมาวดีต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ปรนเปรอด้วยอาหารอันเอมโอชและสุราอย่างดี หญิงชราเพลิดเพลินอยู่ที่คฤหาสน์ตลอดวัน จนกระทั่งถึงเวลาเย็นนางจึงลากลับบ้าน ขณะนั้นปรากฎเสียงอื้ออึงในท้องถนนหน้าคฤหาสน์เสียงคนร้องเอะอะว่า “ระวังด้วย มีช้างบ้าหลุดจากเสาตะลุงวิ่งมาทางนี้ มันกระทืบคนตายไปหลายคนแล้ว หนีเร็ว!” นางปัทมาวดีได้ยินดังนั้นจึงกล่าวแก่หญิงชราว่า “แม่อย่าออกไปทางถนนใหญ่เลย อันตรายเปล่า ๆ เราจะให้แม่นั่งในกระเช้าแล้วค่อยหย่อนเชือกลงไปจากหน้าต่างดีกว่า พอลงไปถึงสวนแล้วก็ปีนต้นไม้ออกไปที่กำแพง แล้วข้ามกำแพง ลงไปโดยไต่ลงต้นไม้อีกต้นหนึ่ง ถึงทางลัดแล้วแม่ก็กลับไปบ้านเถิด” หลังจากกล่าวดังนี้แล้ว นางปัทมาวดีก็ให้หญิงชราลงไปนั่งในกระเช้า เอาเชือกพันแน่นหนา แล้วก็ค่อยหย่อนนางลงทางหน้าต่าง เมื่อลงไปถึงสวนแล้วก็ให้นางทำตามที่บอกจนหญิงเฒ่ากลับสู่บ้านด้วยความปลอดภัย เมื่อนางกลับมาบ้านแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายหนุ่มทั้งสองฟัง บุตรมนตรีได้ฟังดังนั้นก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า “ความปรารถนาของพระองค์ถึงความสำเร็จแล้ว เพราะฟังจากถ้อยคำแม่เฒ่านี่ นางปัทมาวดีได้แนะหนทางให้พระองค์ไปสู่บ้านของนางแล้ว เพราะฉะนั้นจงเสด็จไปเถิด ไปเสียวันนี้เลย เวลาย่ำค่ำ ไปตามหนทางที่นางชี้แนะไว้แล้วนั่นแหละ”<br /> เมื่อบุตรมนตรีกล่าวดังนี้ เจ้าราชบุตรก็เดินทางไปพร้อมด้วยบุตรมนตรีลัดเลาะมาจนถึงแนวกำแพงบ้านนางตามที่หญิงชราบอกไว้ ที่ตรงนั้นมีเชือกผูกระเช้าหย่อนลงมาจากหน้าต่าง ที่ขอบหน้าต่างแลเห็นสาวใช้กำลังเยี่ยม ๆ มอง ๆ เหมือนนางกำลังคอยหาเจ้าชายอยู่ ดังนั้นเจ้าจึงลงไปนั่งในกระเช้านางสาวใช้สองคนก็ช่วยกันชักกระเข้าขึ้นไปจนถึงหน้าต่าง จากนั้นเจ้าชายก็เสด็จเข้าไปในปราสาทและตรงเข้าไปหานางอันเป็นที่รัก บุตรมนตรีเห็นว่าเสร็จธุระของตนแล้วก็กลับที่พัก<br /> ส่วนเจ้าชายเมื่อเข้าไปถึงห้องของนางก็แลเห็นนางนั่งอยู่บนอาสน์ มีใบหน้าอันงามปลั่งเปล่งดังจันทร์เพ็ญฉายแสงอร่ามเรืองในราตรี นางแลเห็นเจ้าชายก็รีบลุกจากแท่นเข้ามากอดไว้ด้วยความเสน่หาอันแผดเผาอุระให้ทรมานมานับเดือน เจ้าชายประคองนางไว้ด้วยความรัก และกระทำวิวาหะต่อนางตามแบบคานธรรพวิวาห์ (การได้เสียกันเองด้วยความพอใจทั้งฝ่ายชายและหญิง วิวาหะชนิดนี้ถือเป็นแบบหนึ่งที่ถูกต้องตามกฏหมายอย่างหนึ่งใน 8 ชนิด) เมื่อความปรารถนาของพระองค์บรรลุความสำเร็จแล้ว เจ้าชายก็ประทับอยู่กับนางเรื่อยมาโดยการลักลอบมิให้รู้ถึงผู้อื่น จนเวลาผ่านไปหลายวัน<br /> วันหนึ่งขณะในที่อยู่กับนางในที่รโหฐาน เจ้าชายรำลึกถึงพระสหายได้ จึงกล่าวแก่นางว่า “ดูก่อนเจ้าผู้เป็นที่รัก สหายร่วมใจของข้ากำลังคอยข้าอยู่ที่บ้านแม่เฒ่า เวลาก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ข้าคิดว่าควรจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาบ้าง เพราะเขาคอยฟังข่าวจากข้าอยู่ เสร็จธุระแล้วข้าจะกลับมาที่นี่อีก”<br /> ปัทมาวดีโฉมงามได้ฟังก็นิ่งอยู่ ไตร่ตรองด้วยความฉลาดของนาง แล้วก็กล่าวแก่สามีของนางว่า “โอท่านผู้เป็นบดี (สามี หรือนาย) ของข้า เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ก็ดีแล้ว แต่ข้ายังมีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่งที่จะถามว่า ก่อนหน้านี้ข้าเคยทำปริศนาหลายอย่างต่อพระองค์ พระองค์ทรงตีปัญหาแตกด้วยความคิดของพระองค์เองหรือ หรือว่าบุตรมนตรีผู้เป็นสหายเป็นคนคิดให้”<br /> เจ้าราชบุตรได้ฟังดังนั้นก็กล่าวตอบโดยความซื่อว่า “ข้าไม่ได้คิดเองเลยสักอย่าง แต่สหายของข้าคือบุตรมนตรีผู้นั้นเป็นผู้แนะนำต่างหาก”<br /> นางได้ฟังดังนั้นก็คิดในใจด้วยความล้ำลึก ปกปิดความรู้สึกอันแท้จริงมิให้ปรากฏออกนอกหน้า กล่าวว่า “พระองค์ทำผิดเสียแล้วที่ไม่แจ้งเรื่องนี้แก่ข้าก่อน เมื่อเขาเป็นสหายของพระองค์ เขาก็ควรจะเป็นพี่ของข้าด้วย ข้าควรจะให้เกียรติแก่เขายิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งหมด โดยให้ของขวัญอันมีค่าต่าง ๆ”<br /> เมื่อนางกล่าวดังนี้แล้ว ตกเวลากลางคืนนางก็ส่งเจ้าชายกลับไปโดยวิธีเดิมเหมือนขามา เจ้าชายก็กลับมาหาพุทธิศรีระและพักอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายวัน วันหนึ่งราชบุตรกล่าวแก่บุตรมนตรีว่าพระองค์ได้เล่าเรื่องการแก้ปริศนาของเขาให้นางทราบหมดแล้วเพื่อต้องการจะยกย่องความฉลาดของเขา สหายหนุ่มได้ฟังก็ตำหนิ ว่าเป็นการเสี่ยงมากที่ทรงทำดังนั้น การสนทนาระหว่างสองชายดำเนินไปจนกระทั่งเย็นค่ำ วันต่อมา หลังจากการสวดประจำวันเวลาเช้าสิ้นสุดลง ก็ปรากฏว่ามีสาวใช้คนสนิทของนางปัทมาวดีมารอพบอยู่ เอาหมากพลูมาให้พร้อมกับอาหารซึ่งน่ากินหลายอย่าง นางถามสารทุกข์สุกดิบของบุตรมนตรีตามธรรมเนียม แล้วมอบของกินให้แก่เขาและกล่าวแก่เจ้าชายว่า นางปัทมาวดีกำลังคอยอยู่ ขอให้พระองค์เสด็จไปเสวยอาหารที่บ้านของนางโดยเร็ว นางกล่าวจบก็รีบผลุนผลันกลับไป บุตรมนตรีเห็นนางไปแล้วก็กล่าวแก่เจ้าชายว่า<br /> “ข้าแต่ราชบุตร โปรดคอยดู ข้าจะแสดงอะไรให้ดูสักอย่าง” กล่าวจบก็นำอาหารในภาชนะนั้นมาให้สุนัขกิน สุนัขกินอาหารนั้นยังไม่ทันหมดก็ล้มลงขาดใจตาย เจ้าชายแลดูด้วยความงุนงง ตรัสว่า “นี่มันอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ”<br /> บุตรมนตรีจึงอธิบายว่า “ความจริงก็คือ นางผู้เป็นที่รักของพระองค์รู้ว่าข้าเป็นคนมีปัญญา เพราะสามารถตีปัญหาของนางออกทุกอย่าง นางจึงส่งอาหารใส่ยาพิษมาให้ข้ากิน ที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะนางรักพระองค์มากเหลือเกิน นางต้องการให้พระองค์รักนางอย่างสุดจิตสุดใจ และนางเห็นว่า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าอาจเป็นก้างขวางคอนาง และอาจจะยุยงพระองค์ให้เหินห่างจากนางเมื่อไรก็ได้ นางจึงคิดจะฆ่าเสีย มิให้ข้านำพาพระองค์เสด็จกลับพระนคร แต่พระองค์อย่าโกรธนางเลย ทางที่ดีขอให้พระองค์เล้าโลมนางจนคิดหนีจากสกุลติดตามพระองค์กลับสู่พระนครจะดีกว่า ข้าจะเป็นผู้ออกอุบายดำเนินเรื่องนี้เอง”<br /> เมื่อบุตรมนตรีทูลดังนี้ เจ้าราชบุตรก็ทรงยิ้มแย้มด้วยความพอพระทัยตรัสว่า “เจ้านี่สมแล้วที่ได้ชื่อว่า พุทธิศรีระ เพราะเจ้าเป็นแหล่งของความฉลาดแท้เทียว”<br /> ขณะที่เจ้าชายกำลังกล่าวยกย่องพระสหายอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเป็นอันมากส่งเสียงปริเทวนาการมาจากท้องถนนว่า “โธ่เอ๋ย ช่างกระไรราชบุตรน้อยของพระราชามาด่วนจากไปเสียแล้ว ไม่ควรเลย ยังเด็กอยู่แท้ ๆ” บุตรมนตรีได้ยินเสียงดังนั้นก็รู้สึกยินดีนัก กล่าวแก่เจ้าชายว่า “รีบเสด็จไปบ้านนางเถอะ คืนนี้เมื่อพระองค์อยู่กับนาง จงพยายามให้นางดื่มสุราให้มาก ให้นางเมาจนสิ้นสติแน่นิ่ง แล้วจงเอาเหล็กเผาไฟนาบสะโพกของนางเป็นเครื่องหมายแล้วเก็บสร้อยถนิมพิมพาภรณ์เครื่องประดับกายของนางมาให้หมด จากนั้นขอให้เสด็จกลับมาทางเดิม เมื่อกลับมาบ้านแล้วข้าจะดำเนินการตามแผนที่คิดไว้ทุกอย่าง” เมื่อบุตรมนตรีกล่าวดังนี้แล้วก็มอบเหล็กแหลมรูปตรีศูลอันเล็ก ๆ มีลักษณะแหลมราวกับขนหมูป่าให้แก่เจ้าชายเพื่อไปกระทำตามแผน เจ้าชายรับมาแล้วทรงพิจารณาดูอาวุธน้อยอันดำเป็นมันขลับราวกับตะกั่วดำ พลางคิดว่าทั้งนางปัทมาวดีผู้เป็นที่รัก กับพุทธิศรีระผู้เป็นสหายแก้ว ดูจะเป็นคนใจหินด้วยกันทั้งคู่ไม่มีใครเป็นรองใครจึงตรัสว่า “เอาเถอะข้าจะทำตามที่เจ้าสั่งทุกอย่าง”<br /> คืนนั้นเจ้าชายเสด็จไปยังคฤหาสน์ของนางปัทมาวดี เพราะขึ้นชื่อว่าเจ้าชายย่อมจะต้องทำตามคำแนะนำของมนตรีที่ฉลาดเสมอ ณ ที่นั้นพระองค์ได้ภิรมย์อยู่ด้วยนางจนเวลาค่อนคืน ปรนเปรอนางด้วยสุรา จนนางเมามายถึงขนาดและแน่นิ่งไป เจ้าชายเห็นได้โอกาสก็หยิบตรีศุลมาลนไฟแล้วนาบลงที่สะโพกของนางโดยนางยังคงสลบไสลไม่ได้สติเช่นเดิม เสร็จแล้วทรงรวบรวมรัตนาภรณ์ของนางใส่ห่อผ้า เสด็จเร้นพระองค์ลงจากหน้าต่างในความมืด แฝงกายลัดเลาะมาถึงบ้าน แจ้งเหตุการณ์ทุกอย่างให้บุตรมนตรีทราบ ทำให้บุตรมนตรีดีใจที่แผนการประสบผลสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว<br /> รุ่งเช้าบุตรมนตรีแอบไปยังสุสานนอกเมือง พร้อมด้วยราชบุตร และเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยบุตรมนตรีปลอมตนเป็นโยคี ส่วนเจ้าชายปลอมเป็นสาวก เสร็จแล้วบุตรมนตรีกล่าวแก่เจ้าชายว่า “พระองค์จงนำรัตนาวลีนี้ไปเร่ขายในตลาด แล้วทำเป็นโก่งราคาเสียจนไม่มีใครกล้าแตะ จงเดินเร่ขายไปเรื่อย ๆ ทำให้ใคร ๆ ได้เห็นกันจนทั่ว และเมื่อถูกราชบุรุษ (ตำรวจ) จับ จงทำเป็นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ตอบแต่เพียงว่า ท่านโยคีอาจารย์ของข้าสั่งให้ข้าเอาสร้อยเส้นนี้มาขาย<br /> เมื่อบุตรมนตรีกำชับกำชาเรียบร้อยแล้วก็ส่งเจ้าชายออกไปที่ตลาด เจ้าชายแกล้งตระเวนขายสายสร้อยมณีไปทั่วตลาด ในที่สุดก็ถูกราชบุรุษจับ เพราะราชบุรุษได้รับแจ้งความมาว่าเป็นส่วนหนึ่งของรัตนาภรณ์ที่โจรเอาไปจากลูกสาวเศรษฐีผู้เป็นทันตแพทย์ เมื่อราชบุรุษจับกุมเจ้าชายไปแล้วก็นำไปมอบแก่ตุลาการ ตุลาการแลเห็นราชบุตรแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของโยคี ก็รีบแสดงความเคารพและถามด้วยความนอบน้อมว่า “ข้าแต่ท่านสาธุ ท่านเอาสร้อยมณีเส้นนี้มาจากไหน ท่านรู้หรือไม่ว่า สร้อยเส้นนี้เป็นของธิดาเศรษฐีใหญ่ คือธิดาทันตแพทย์หลวง นางทำหายไปโดยไร้ร่องรอยจำไม่ได้ว่าที่ไหน บางทีอาจจะถูกขโมยเมื่อคืนนี้ก็ได้”<br /> เมื่อเจ้าชายผู้ปลอมเป็นสาธุได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า “ท่านมหาคุรุผู้เป็นอาจารย์ของข้าเป็นคนมอบให้ข้าเอง ถ้าท่านอยากรู้อะไรก็จงสอบถามท่านคุรุเถิด”<br /> ตุลาการได้ฟังก็เดินทางไปที่สุสาน แลเห็นบุตรมนตรีนั่งอยู่ คิดว่าเป็นโยคีจึงเข้าไปทำความเคารพและถามว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านได้มุกดาวลีเส้นนี้มาจากไหน ข้าได้มาจากศิษย์ของท่าน”<br /> เมื่อหนุ่มเจ้าเล่ห์ได้ฟังก็ตอบว่า “ข้าเป็นนักบวชแสวงบุญ เดินทางท่องเที่ยวจาริกแสวงบุญไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่พำนักถาวร ข้าชอบท่องเที่ยวไปในไพรกว้าง ออกจากป่าโน้นเข้าป่านี้ตามอำเภอใจของข้า คราวนี้ประเหมาะได้เจอเรื่องตื่นเต้นเข้าจนได้ เมื่อคืนข้ามาพักอยู่ในสุสานนี้ ข้าได้เห็นนางแม่มดจำนวนมากมาประชุมกันที่นี่ พวกมันคนหนึ่งนำเอาร่างสลบไสลของชายองค์หนึ่งมาด้วย มันเอาร่างเปล่าเปลือยของชายเคราะห์ร้ายมาวางเป็นเครื่องบูชายัญแด่องค์พระไภรวะ (ผู้น่ากลัว หมายถึงพระศิวะ (อิศวร) ปางดุร้าย) นางแม่มดตนหนึ่งมีอำนาจตบะแรงกล้ามิใช่น้อย แอบเข้ามาขโมยสร้อยประคำที่ข้าใช้ท่องบ่นมนตราอันศักดิ์สิทธิ์ไป ข้าลืมตาขึ้นเห็นนางตัวดีวิ่งหนีไปข้างหน้า ข้าโกรธมาก วิ่งตามไปจิกหัวมัน กระชากสร้อยประคำคืนมาแล้วมัดนางไว้ เอาตรีศุลของข้าลนไฟแล้วนาบสะโพกมัน ข้าหยิบสร้อยมุกดาที่มันสวมคอเอามาด้วย แล้วปล่อยมันไป ข้าเห็นว่ารัตนาวลีนี้เป็นของมีค่า มิใช่ของอันดาบสพึงเก็บเอาไว้ใช้สอย จึงให้ลูกศิษย์ข้าเอาไปขายที่ตลาด เรื่องก็มีเท่านี้แหละ<br /> เมื่อตุลาการได้ฟังเรื่องราวโดยตลอดเช่นนั้นก็รีบกลับเข้าวังทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาได้ฟังรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่มีเรื่องราวดังกล่าวเกิดขึ้น ในที่สุดทรงสรุปเอาว่า สร้อยมุกดานั้นชะรอยจะเป็นเส้นเดียวกับเส้นที่หายไป พระราชาจึงส่งนางพนักงานชราที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้คนหนึ่งไปสืบที่บ้านเศรษฐี เพื่อดูว่าธิดาเศรษฐผู้นั้นมีรอยรูปตรีศุลอยู่ที่สะโพกหรือหาไม่ หญิงเฒ่าไปแล้วมิช้าก็กลับมาทูลว่า นางปัทมาวดีนั้นมีรอยรูปตรีศูลบนสะโพกเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อได้ฟังดังนั้นพระราชาก็ทรงมั่นพระทัยว่า นางปัทมาวดีเป็นแม่มด และเป็นคนเดียวกับที่ฆ่าพระโอรสของพระองค์เป็นแน่แท้ ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปแต่ลำพัง เข้าไปหาโยคีที่สุสาน และถามว่า พระองค์ควรจะจัดการอย่างแก่นางปัทมาวดี โยคีปลอมจึงทูลแนะนำให้เนรเทศนางไปเสียจากพระนคร พระราชาจึงออกคำสั่งให้เนรเทศนางไปเสีย ทำให้บิดามารดาของนางเศร้าโศกเพียงชีวิตจะแตกสลาย เมื่อนางปัทมาวดีถูกขับไล่ออกจากเมือง เสื้อผ้าแพรพรรณและถนิมพิมพาภรณ์ของนางก็ถูกยึดไปหมด เหลือแต่ผ้านุ่งห่มปอน ๆ ผืนเดียว นางเข้าไปอยู่ในป่าแต่ผู้เดียว สิ้นความคิดที่จะช่วยเหลือตัวเอง นั่งซึมเซาอยู่ตกเย็นบุตรมนตรีกับเจ้าชายเปลี่ยนเครื่องแต่งกายนักบวช แล้วขี่ม้าเข้ามาในป่าตรงไปหานาง ปลอบโยนนางให้คลายโศกแล้วเจ้าชายก็อุ้มนางขึ้นขี่ม้าตัวเดียวกันเดินทางกลับพระนครพาราณสี และดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ส่วนเศรษฐีทันตแพทย์ เมื่อธิดาของตนจากไปแล้วและมิได้ยินข่าวเกี่ยวกับนางอีกก็คิดว่านางคงถูกสัตว์ป่ากินสิ้นชีวิตไปแล้ว มีความทุกข์ระทมแสนสาหัส ก็ตรอมใจตาย ต่อมามิช้านางผู้ภริยาก็ตายตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง<br /> ฝ่ายเวตาลเมื่อเล่าเรื่องจบลงแล้ว ก็แสร้งกล่าวแก่พระราชาว่า “โอ อารยบุตร ข้ามีความสงสัยอยู่อย่างหนึ่งในเรื่องที่เล่ามานี้ว่า ในกรณีที่บิดามารดาของนางปัทมาวดีต้องสิ้นชีวิตลงไปนี้ ทรงเห็นว่าเป็นความผิดของใคร บุตรมนตรี หรือว่าเจ้าชาย หรือนางปัทมาวดีกันแน่ โปรดทรงวินิจฉันให้ข้าฟังหน่อยเถอะ เพราะพระองค์ก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดนักปราชญ์ผู้หนึ่ง โอ ราชะ ถ้าพระองค์ไม่กล่าวคำจริงทั้ง ๆ ที่ทรงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้วละก็ พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกออกเป็นร้อยเสี่ยงแน่เทียว”<br /> เมื่อเวตาลกล่าวดังนี้ พระราชาผู้เป็นสัตยเคราะห์ (ผู้ยึดมั่นในความสัตย์) ก็ตกพระทัยเพราะความเกรงกลัวในคำสาป จึงตรัสว่า “โอ เวตาล เจ้าก็เป็นผู้ชำนิชำนาญในมายาศาสตร์ทั้งปวง เรื่องนี้ยากเย็นอะไร บุคคลทั้งสามที่เจ้าเอ่ยมานั้นข้าไม่เห็นว่าจะมีใครเป็นผู้ผิดแม้แต่คนเดียว ความผิดในเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นของพระราชากรรณโณตบลนั่นต่างหาก”<br /> เวตาลได้ฟังก็กล่าวว่า “อะไรกัน พระราชาเป็นผู้ผิดด้วยเหตุใด บุคคลทั้งสามนั่นแหละเป็นผู้ก่อความผิดเกี่ยวเนื่องกันทั้งสามคน ก็กานั้นเสพของสกปรกจะต้องพลอยมีความผิดด้วยหรือ ในเมื่อหงส์นั้นมิได้กินภักษาหารเหมือนกา แต่กินข้าวเปลือกแทน”<br /> พระราชาตรัสอธิบายว่า “ว่าตามจริงคนทั้งสามมิได้ทำความผิดเลยสักนิด บุตรมนตรีไม่ได้ทำผิดเพราะสิ่งที่เขาทำไปเป็นเพราะเขาต้องการจะช่วยเจ้านายของเขา นับเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องทำอยู่แล้วในฐานเสวกและสหาย ส่วนนางปัทมาวดีและเจ้าราชบุตรก็มิได้ทำผิดอะไร เพราะทั้งสองคนต่างก็ถูกเผาไหม้ด้วยพิษศรกามเทพเช่นเดียวกัน สิ่งที่พวกเขากระทำไปก็เพราะเขาต่างรักกัน และทำไปด้วยความโง่เขลาต่างหาก จึงไม่ควรถูกตำหนิในเรื่องนี้ ก็พระราชากรรโณตบลนั่นแหละ ขาดความรู้ความเข้าใจในนิติศาสตร์อันเป็นหลักที่พระเจ้าแผ่นดินควรจะรู้ ไม่สืบสวนข้อเท็จจริงให้ประจักษ์ในงานอันเกี่ยวกับแว่นแคว้นที่ตนปกครอง ไม่รู้จักการใช้จารชนให้เป็นประโยชน์ แม้ในเรื่องของราษฎรภายใต้อำนาจของตัวเองก็ไม่รู้ ไม่มีความเฉลียวในเล่ห์ของทรชน ขาดความชำนิชาญในการตีวความสิ่งที่ปรากฎแม้ง่าย ๆ ที่กล่าวมานี้แล คือความบกพร่องอันควรนับว่าเป็นความผิดของพระราชากรรโณตบลโดยแท้ เวตาลผู้สิงอยู่ในศพเมื่อได้ฟังพระราชากล่าวดังนั้น ทราบว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่พระราชาได้ลืมคำสัญญาที่ว่าจะไม่พูดแล้ว จึงเป็นโอกาสอันดีที่ตนจะหนีไป เวตาลก็ผละจากไหล่ของพระราชาและอันตรธานหายไป ทำให้พระราชาตริวิกรมเสนต้องเสด็จเที่ยวติดตามเพื่อจับเอาตัวมาอีก </span></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-12358385687686424832010-07-14T07:39:00.000-07:002010-07-14T07:41:57.278-07:00<div align="center"><span style="font-size:180%;color:#ffcc00;">เวตาลปัญจวิงศติ<br /></span> <span style="color:#ffff00;"> เป็นปีศาจชั่วร้ายพวกหนึ่ง ซึ่งหากินอยู่ในสุสาน และสิงสู่อยู่ในศพโดยทั่วไป ว่ากันถึงรูปร่างหน้าตาของเวตาล ในวรรณคดีของอินเดียภาคใต้กล่าวไว้ว่า เวตาลได้รับการเคารพนับถือว่าเป็นภูตที่มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองดูและประชาชนในท้องถิ่น ตั้งแต่ที่ราบสูงเด็กข่าน เรื่อยลงมาทางภาคใต้ เวตาลมักจะปรากฎรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มือและเท้าหันกลับไปทางด้านหลัง นัยน์ตาเป็นสีลานแกมเขียว มีเส้นผมตั้งชันทั้งศีรษะ มือขวาถือไม้เท้า มือซ้ายถือหอยสังข์ ขณะเมื่อมาปรากฎตัวจะนุ่งห่มเสื้อผ้าสีเขียวทั้งชุด นั่งมาบนเสลี่ยงบางคราวก็ขี่ม้า มีภูตบริวารถือคบเพลิงแวดล้อมโดยรอบ และส่งเสียงโห่ร้องกึกก้อง รูปเคารพของเวตาลที่ใช้เป็นรูปบูชามักทำด้วยหินทาสีแดง บนส่วนยอดของแท่งหินแกะสลักเป็นรูปหน้าคน<br /> โอม ขอชัยชนะจงมีแด่พระคเณศ พระผู้ซึ่งขณะฟ้อนรำได้ยังปวงดาราให้พรั่งพรูลงจากฟากฟ้าราวกับสายธารแห่งบุปผามาลัย ด้วยแรงลมเป่า จากปลายงวงของพระองค์แม้เพียงเล็กน้อย<br /> ณ ฝั่งแม่น้ำโคทาวรี มีพระมหานครแห่งหนึ่งตั้งอยู่นามว่า ประดิษฐาน ที่เมืองนี้ในสมัยบรรพกาลมีพระราชาธิบดีองค์หนึ่ง ทรงนามว่า ตริวิกรมเสน ได้ครองราไชศวรรย์มาด้วยความผาสุก พระองค์เป็นราชโอรสของพระเจ้าวิกรมเสนผู้ทรงเดชานุภาพเทียมท้าววัชรินทร์<br /> ทุก ๆ วัน เมื่อพระราชาเสด็จออกว่าราชการ ณ ท้องพระโรงธารคำนัล จะมีนักบวชชื่อ ศานติศีล เข้ามาเฝ้าถวายความเคารพ แล้วถวายผลไม้ผลหนึ่งและทุก ๆวัน พระราชาก็ได้ประทานผลไม้นั้นแก่ขุนคลังผู้อยู่ใกล้ชิดให้เอาไปเก็บไว้ ด้วยประการฉะนี้แล กาลเวลาก็ผ่านไปนับสิบปี<br /> อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อโยคีศานติศีลเข้ามาเฝ้าถวายผลไม้เช่นเคย แล้วทูลลากลับไป พระราชาทรงยื่นผลไม้นั้นแก่ลิงตัวหนึ่งซึ่งทรงเลี้ยงไว้ในตำหนัก และหนีคนเลี้ยงเข้ามาวิ่งเล่นอยู่ในท้องพระโรง ลิงรับผลไม้แล้วเอาเข้าปากขบกัด ทำให้เปลือกผลไม้ฉีกออก ทันใดนั้นเพชรมณีอันงามและมีค่าหามิได้ก็ร่วงตกลงมาเป็นประกายระยิบระยับ พระราชาทรงหยิบมณีเม็ดนั้นขึ้นมาพิจารณาและตรัสแก่โกศาธิบดีว่า<br /> "นี่แนะขุนคลัง เจ้าจำได้ไหมว่าข้าเคยมอบผลไม้ของโยคีให้แก่เจ้าทุก ๆ วัน ป่านนี้ก็คงจะมีจำนวนมากโขอยู่ เจ้าเอาไปเก็บไว้ที่ไหนเล่า"<br /> ได้ฟังรับสั่งดังนั้น ขุนคลังก็เกิดความตระหนกเป็นล้นพ้น อึกอักกราบทูลว่า "ข้าแต่มหิบาล ขอทรงอภัยด้วยเถิด ข้าพระบาทคิดว่าเป็นผลไม้ธรรมดาก็เลยไม่ได้เอาใจใส่ ได้รับมาครั้งใดก็โยนเข้าไปในหน้าต่างท้องพระคลัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ข้าพระองค์ขอเปิดประตูคลังดูก่อน" โกศาธิบดีกราบทูลแล้วรีบวิ่งมาที่พระคลัง เปิดประตูออกดูภายในครู่หนึ่งก็รีบกลับมาทูลว่า<br /> "โอ นฤบดี ผลไม้ดังกล่าวนั้นเปื่อยเน่าไปหมดแล้ว เหลือแต่เมล็ดคือ ดวงแก้วมณีกองเป็นภูเขาเลากาเต็มไปหมด ส่องแสงระยิบระยับไปทั้งห้องพระเจ้าข้า"<br /> พระราชาได้ฟังดังนั้นก็ตรัสว่า<br /> "สมบัติของข้าในท้องพระคลังก็มีมากมายเหลือที่จะคณานับ ข้าจะปรารถนาอะไรกับอนรรฆมณีเหล่านั้น ข้าขอมอบให้แก่เจ้าทั้งหมด จงเอาไปเถิด"<br /> วันรุ่งขึ้น เมื่อเสด็จออกท้องพระโรง ทอดพระเตรเห็นโยคีศานติศีลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่า<br /> "ดูก่อนมุนี ท่านมาหาเราทุกวัน เอามณีจินดาค่าควรเมืองนับไม่ถ้วนมาให้แก่เรา ท่านมีความประสงค์อะไร จงบอกมาตามจริง ถ้าท่านยังไม่บอกเรา วันนี้เราก็จะไม่รับผลไม้จากท่าน"<br /> โยคีได้ฟังก็ตอบว่า<br /> "ข้าพเจ้ากำลังจะประกอบมหายัญพิธีอันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำสำเร็จไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้บุรุษสุดกล้าหาญอย่างท่านมาช่วยเหลือ ขอทรงเมตตาเถิด โอ ราชะ"<br /> พระราชาได้ฟังก็ตรัสว่า<br /> "ท่านโยคี ข้ายินดีจะช่วยเหลือท่านทุกอย่าง จะให้ทำอะไรก็บอกมาเถิด"<br /> "โอ วิศามบดี ข้าพเจ้ายินดีนัก" โยคีศานติศีลกล่าว "ข้าพเจ้าจะรอพระองค์อยู่ที่สุสานนอกเมืองเมื่อถึงข้างแรมคืนแรกแห่งกาฬปักษ์ พระองค์จงมาพบข้าพเจ้าในเวลาค่ำที่บริเวณใต้ต้นไทรเถิด อย่าทรงลืมเป็นอันขาด"<br /> พระราชาทรงยินยอม ตรัสว่า "เอาเถิด ข้าจะไปตามนัด"<br /> โยคี เมื่อได้รับคำสัญญาของพระราชา ก็ทูลลากลับไปด้วยความยินดี<br /> ฝ่ายพระราชาผู้มหาวีระ ครั้นถึงวันแรมแรกก็เสด็จออกจากวัง ทรงแต่งพระองค์อย่างรัดกุม โพกพระเศียรด้วยผ้าสีดำ ทรงเลาะเร้นไปตามทางโดยไม่มีผู้พบเห็น จนกระทั่งบรรลุถึงสุสานนอกเมืองตามที่นัดหมาย บริเวณนั้นมืดด้วยเงาแมกไม้ ปรากฎเพียงตะคุ่ม ๆ ในที่สุดก็มาถึงที่ใกล้จิตกาธานอันสว่างวอมแวมด้วยไฟที่่เผาไหม้ซากอสุภอยู่ บางส่วนก็เหลือเพียงโครงกระดูกและกะโหลกศีรษะเรี่ยรายอยู่ ทำให้เกิดความสะพรึงกลัวแก่ผู้ได้พบเห็นยิ่งนัก ณ ที่นั้นมีพวกภูตและเหล่าเวตาลลอยอยู่เกลื่อน บ้างก็ยื้อแย่งกินศพอันชวนให้สะอิดสะเอียนเหียนราก เสียงหมาไนหอนโหยหวนอยู่ในที่ใกล้เคียงเหมือนเสียงปีศาจมาหลอกหลอน รวมแล้วความสยดสยองทั้งหลายที่ปรากฎก็เป็นประดุจการมาเยือนของพระไภรวะ (พระศิวะหรือพระอิศวร ปางดุร้าย) นั่นเทียว<br /> จากนั้นพระราชาทรงค้นหาสำนักของโยคีศานติศีลจนพบที่ใต้ต้นไทรใหญ่ อันมีรากย้อยระย้า จึงเสด็จเข้าไปหา ตรัสว่า<br /> "ข้ามาแล้ว ท่านโยคีจะให้ข้าทำอะไรเล่า"<br /> เมื่อโยคีเห็นพระราชาเสด็จมาตามสัญญาก็ดีใจ กล่าวว่า<br /> "โอ ราชะ ข้าพเจ้าเห็นแล้วจากพระเนตรของพระองค์ว่า ทรงมีเมตตาต่อข้าพเจ้า ทรงฟังเถิด ถ้าพระองค์เสด็จจากนี่ไปทางทิศใต้ไม่ไกลนัก จะทรงพบต้นอโศกต้นหนึ่ง บนกิ่งอโศกมีศพชายคนหนึ่งแขวนอยู่ ขอให้นำศพนั้นมาให้ข้าพเจ้า นั่นแหละคืองานที่ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระองค์ช่วยเหลือ โอ มหาวีระ"<br /> ทันทีที่วีรกษัตริย์ผู้มั่นคงต่อคำสัญญาได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ก็ทรงกล่าวแก่โยคีว่า "ข้าจะทำตามคำของท่าน" แล้วเสด็จไปทางทิศใต้ ครู่หนึ่งก็มาถึงที่อันอยู่ไม่ไกลจากกองไฟที่ใกล้จะมอด แลเห็นต้นอโศกอยู่บริเวณนั้น บนกิ่งอโศกมีศพชายผู้หนึ่งแขวนอยู่ราวกับห้อยลงมาจากบ่าของอสุรกาย พระราชาทรงปีนต้นอโศกขึ้นไปปลดเอาศพลงมาอย่างยากเย็นและเหวี่ยงมันลงบนพื้นดิน ทันทีที่ร่างนั้นกระทบแผ่นดินมันก็หวีดร้องราวกับเจ็บปวดเต็มที่ พระราชาทรงคิดว่าร่างนั้นมีชีวิต ก็ปีนลงมาจากต้นอโศกเข้าประคองเอาไว้ ทรงนวดเฟ้นร่างนั้นด้วยความกรุณาเพื่อให้คลายเจ็บ ทันใดนั้นศพก็กรีดเสียงหัวเราะเยือกเย็นราวกับเสียงภูตผี พระราชาทรงทราบได้ทันทีว่าศพนั้นถูกเวตาลสิงอยู่ จึงถามมันว่า "เจ้าหัวเราะอะไร อย่ามัวชักช้าอยู่เลย รีบไปกันเถอะ" ทันใดนั้นเอง ศพที่เวตาลเข้าสิง ก็ลอยกลับขึ้นไปห้อยอยู่บนกิ่งอโศกตามเดิม พระราชาเห็นดังนั้น ก็รีบปีนขึ้นไปดึงเอาศพนั้นลงมาแล้วเหวี่ยงขึ้นบ่า เสด็จไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสด็จมาตามทาง เวตาลในร่างของศพที่พาดบ่าอยู่ก็กล่าวแก่พระราชาว่า<br /> "โอ ราชัน ข้าจะเล่านิทานสนุก ๆ ให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง ระหว่างทางจะได้ไม่เบื่อ โปรดทรงสดับเถิด และเมื่อฟังแล้วอย่าได้ตรัสอะไรเลย" </span></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-10505976364423405472010-06-23T08:29:00.000-07:002010-06-23T08:32:27.631-07:00<div style="text-align: center;"><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6ZaRhfrp5bUuGTWT6YxAzOCuewLBpoylsRe8zbjyJe0vPv_ZqPNRYNv3-Sewq0cQlAYbGNx6Jhis3YsQg1aVJssNLI7oqT1GMc2WOczWP9NAkH-wuzU4AnOVyjemKtppHMXGo86H4nyY/s400/social18.jpg"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 284px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj6ZaRhfrp5bUuGTWT6YxAzOCuewLBpoylsRe8zbjyJe0vPv_ZqPNRYNv3-Sewq0cQlAYbGNx6Jhis3YsQg1aVJssNLI7oqT1GMc2WOczWP9NAkH-wuzU4AnOVyjemKtppHMXGo86H4nyY/s400/social18.jpg" alt="" border="0" /></a><span style="font-weight: bold;font-size:180%;" ><span style="color: rgb(255, 255, 0); font-family: arial;">ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฏ ในประเทศไทย </span><br /></span></div><span style="color: rgb(255, 255, 0);">'กบฏ ปฏิวัติ รัฐประหาร' โดยสาระสำคัญแล้ว การทำรัฐประหาร คือการใช้กำลังอำนาจเข้าเปลี่ยนแปลงอำนาจของรัฐ โดยมาก หากรัฐประหารครั้งนั้นสำเร็จ จะเรียกว่า '</span><span style="color: rgb(255, 255, 0);font-size:130%;" >ปฏิวัติ' </span><span style="color: rgb(255, 255, 0);">แต่หากไม่สำเร็จ จะเรียกว่า</span><span style="color: rgb(255, 255, 0);font-size:130%;" > 'กบฏ'</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">จาก พ.ศ. 2475 - พ.ศ. 2549 มีการก่อรัฐประหารหลายครั้ง ทั้งที่เป็น การปฏิวัติ และเป็น กบฏ มีดังนี้</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พ.ศ. เหตุการณ์ หัวหน้าก่อการ รัฐบาล</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2475 ปฏิวัติ 24 มิถุนายน พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2476 รัฐประหาร พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา พระยามโนปกรณ์นิติธาดา</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2476 กบฎบวรเดช พล.อ.พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2478 กบฎนายสิบ ส.อ.สวัสดิ์ มหะหมัด พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2481 กบฎพระยาสุรเดช พ.อ.พระยาสุรเดช พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2490 รัฐประหาร พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2491 กบฎแบ่งแยกดินแดน ส.ส.อีสานกลุ่มหนึ่ง นายควง อภัยวงศ์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2491 รัฐประหาร คณะนายทหารบก นายควง อภัยวงศ์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2491 กบฏเสนาธิการ พล.ต.สมบูรณ์ ศรานุชิต จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2492 กบฎวังหลวง นายปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2494 กบฎแมนฮัตตัน น.อ.อานน บุณฑริกธาดา จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2494 รัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงคราม จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2497 กบฎสันติภาพ นายกุหราบ สายประสิทธิ์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2500 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ป. พิบูลสงคราม</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2501 รัฐประหาร จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จอมพล ถนอม กิตติขจร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2514 รัฐประหาร จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ถนอม กิตติขจร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2516 ปฏิวัติ 14 ตุลาคม ประชาชน จอมพล ถนอม กิตติขจร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2519 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2520 กบฎ 26 มีนาคม พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2520 รัฐประหาร พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2524 กบฎ 1 เมษายน พล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2528 การก่อความไม่สงบ 9 กันยายน พ.อ.มนูญ รูปขจร * พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2534 รัฐประหาร พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2549 รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีพล.อ.สนธิ บุญยตกรินทร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);"> เป็นหัวหน้า รัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">* คณะบุคคลกลุ่มนี้ อ้างว่า พลเอก เสริม ณ นคร อดีตผู้บัญชาทหารสูงสุดเป็นหัวหน้า แต่หัวหน้าก่อการจริงคือ พ.อ. มนูญ รูปขจร</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ประวัติการปฏิวัติรัฐประหารและกบฎ ในประเทศไทย (2475 - 2549)</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">การ ปฏิวัติ 24 มิถุนายน 2475</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">" คณะราษฎร " ซึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนบางกลุ่ม จำนวน 99 นาย มีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้าคณะ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบต่อไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ ให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่ก่อนแล้ว จึงทรงยินยอมตามคำร้องขอของคณะราษฎร ที่ทำการปฏิวัติในครั้งนั้น</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พัน เอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พร้อมด้วยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือนคณะหนึ่ง ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่ง เพื่อขอให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งซึ่งเป็นการริดรอนอำนาจภายในคณะราษฏร ที่มีการแตกแยกกันเอง</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ในส่วนของการใช้อำนาจ ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ใช้อำนาจในทางที่ละเมิดต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคมและประเทศชาติ เช่น ให้มีศาลคดีการเมือง ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินที่มีอิสระอย่างเต็มที่ การประกาศทรัพย์สินของนักการเมืองทุกคนทุกตำแหน่ง การออกกฎหมายผลประโยชน์ขัดกัน ฯลฯ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏบวชเดช 11 ตุลาคม 2476</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พระ เจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารจากหัวเมืองภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ก่อการเพื่อล้มล้างอำนาจของรัฐบาล โดยอ้างว่าคณะราษฎรปกครองประเทศไทยโดยกุมอำนาจไว้แต่เพียงแต่เพียงผู้เดียว และปล่อยให้บุคคลกระทำการหมิ่นองค์พระประมุขของชาติ รวมทั้งจะดำเนินการปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ตามแนวทางของนายปรีดี พนมยงค์ คณะผู้ก่อการได้ยกกำลังเข้ายึดดอนเมืองเอาไว้ ฝ่ายรัฐบาลได้แต่งตั้ง พ.ท.หลวง พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการกองกำลังผสม ออกไปปราบปรามจนประสบผลสำเร็จ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏนายสิบ 3 สิงหาคม 2478</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ทหาร ชั้นประทวนในกองพันต่างๆ ซึ่งมีสิบเอกสวัสดิ์ มหะมัด เป็นหัวหน้า ได้ร่วมกันก่อการเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยจะสังหารนายทหารในกองทัพบก และจับพระยาพหลพลพยุหเสนาฯ และหลวงพิบูลสงครามไว้เป็นประกัน รัฐบาลสามารถจับกุมผู้คิดก่อการเอาไว้ได้ หัวหน้าฝ่ายกบฏถูกประหารชีวิต โดยการตัดสินของศาลพิเศษในระยะต่อมา</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏพระยาทรงสุรเดช 29 มกราคม 2481</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ได้มีการจับกุมบุคคลผู้คิดล้มล้างรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้กลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ดังเดิม นายพันเอกพระยาทรงสุรเดชถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และได้ให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ต่อมารัฐบาลได้จัดตั้งศาลพิเศษขึ้นพิจารณา และได้ตัดสินประหารชีวิตหลายคน ผู้มีโทษถึงประหารชีวิตบางคน เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร นายพลโทพระยาเทพหัสดิน นายพันเอกหลวงชานาญยุทธศิลป์ ได้รับการลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากศาลเห็นว่าเป็นผู้ได้ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติมาก่อน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐ ประหาร 8 พฤศจิกายน 2490</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">คณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมี พลโทผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าสำคัญ ได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ซึ่งมีพลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ แล้วมอบให้นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลต่อไป ขณะเดียวกัน ได้แต่งตั้ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏแบ่งแยกดินแดน 28 กุมภาพันธ์ 2491</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">จะมีการจับกุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรของภาคตะวันออก เฉียงเหนือหลายคน เช่น นายทิม ภูมิพัฒน์ นายถวิล อุดล นายเตียง ศิริขันธ์ นายฟอง สิทธิธรรม โดยกล่าวหาว่าร่วมกันดำเนินการฝึกอาวุธ เพื่อแบ่งแยกดินแดนภาคอีสานออกจากประเทศไทย แต่รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการจับกุมได้ เนื่องจากสมาชิกผู้แทนราษฏรมีเอกสิทธิทางการเมือง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 6 เมษายน 2491</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">คณะนายทหารซึ่งทำรัฐประหารเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2490 บังคับให้นายควง อภัยวงศ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วมอบให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าดำรงตำแหน่งต่อไป</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏเสนาธิการ 1 ตุลาคม 2491</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พล ตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรีเนตร เขมะโยธิน เป็นหัวหน้าคณะนายทหารกลุ่มหนึ่ง วางแผนที่จะเข้ายึดอำนาจการปกครอง และปรับปรุงกองทัพจากความเสื่อมโทรม และได้ให้ทหารเข้าเล่นการเมืองต่อไป แต่รัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ทราบแผนการ และจะกุมผู้คิดกบฏได้สำเร็จ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏวังหลวง 26 มิถุนายน 2492</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">นาย ปรีดี พนมยงค์ กับคณะนายทหารเรือ และพลเรือนกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังเข้ายึดพระบรมมหาราชวัง และตั้งเป็นกองบัญชาการ ประกาศถอดถอน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และนายทหารผู้ใหญ่หลายนาย พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยกาปราบปราม มีการสู้รบกันในพระนครอย่างรุนแรง รัฐบาลสามารถปราบฝ่ายก่อการกบฏได้สำเร็จ นายปรีดี พนมยงค์ ต้องหลบหนออกนอกประเทศอีกครั้งหนึ่ง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏแมนฮัตตัน 29 มิถุนายน 2494</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">นาวาตรีมนัส จารุภา ผู้บังคับการเรือรบหลวงสุโขทัยใช้ปืนจี้จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไปกักขังไว้ในเรือรบศรีอยุธยา นาวาเอกอานน บุญฑริกธาดา หัวหน้าผู้ก่อการได้สั่งให้หน่วยทหารเรือมุ่งเข้าสู่พระนครเพื่อยึดอำนาจ และประกาศตั้งพระยาสารสาสน์ประพันธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดการสู้รบกันระหว่างทหารเรือ กับทหารอากาศ จอมพล ป. พิบูลสงคราม สามารถหลบหนีออกมาได้ และฝ่ายรัฐบาลได้ปรามปรามฝ่ายกบฏจนเป็นผลสำเร็จ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐ ประหาร 29 พฤศจิกายน 2494</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเอง เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมเสียงข้างมากในรัฐสภาได้ ต้องใช้วิธีการให้ตำแหน่งและผลประโยชน์ต่างๆ แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนอยู่เสมอ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2492 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น มีวิธีการที่เป็นประชาธิปไตยมากเกินไป จึงได้ล้มเลิกรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเสีย พร้อมกับนำเอารัฐธรรมนูญฉบับลงวันที่ 10 ธันวาคม 2475 มาใช้อีกครั้งหนึ่ง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฏ สันติภาพ 8 พฤศจิกายน 2497</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) และคณะถูกจับในข้อหากบฏ โดยรัฐบาลซึ่งขณะนั้นมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เห็นว่าการรวมตัวกันเรี่ยไรเงิน และข้าวของไปแจกจ่ายแก่ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งขณะนั้นกำลังประสบกับความเดือดร้อน เนื่องจากความแห้งแล้งอย่างหนัก เป็นการดำเนินการที่เป็นภัยต่อรัฐบาล นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับคณะถูกศาลตัดสินจำคุก 5 ปี</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 16 กันยายน 2500</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">จอม พลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารนำกำลังเข้ายึดอำนาจของรัฐบาลซึ่งมีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากเกิดการเลือกตั้งสกปรก และรัฐบาลได้รับการคัดค้านจากประชาชนอย่างหนัก จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2501</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">เป็นการปฏิวัติเงียบอีกครั้งหนึ่ง โดยจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในขณะนั้น ลากออกจากตำแหน่ง ในขณะเดียวกันจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น ได้ประกาศยึดอำนาจการปกครองประเทศ ทั้งนี้เนื่องจากเกิดการขัดแย้งในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล และมีการเรียกร้องผลประโยชน์หรือตำแหน่งหน้าที่ทางการเมือง เป็นเครื่องตอบแทนกันมาก คณะปฏิวัติได้ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยกเลิกพระราชบัญญัติพรรคการเมือง และให้สภาผู้แทน และคณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐ ประหาร 17 พฤศจิกายน 2514</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทำการปฏิวัติตัวเอง ประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญ ยุบสภาผู้แทนราษฎร และจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขึ้นทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และให้ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในระยะเวลา 3 ปี</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ปฏิวัติโดยประชาชน 14 ตุลาคม 2516</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">การเรียกร้องให้มีรัฐ ธรรมนูญของนิสิตนักศึกษา และประชาชนกลุ่มหนึ่งได้แผ่ขยายกลายเป็นพลังประชาชนจำนวนมาก จนเกิดการปะทะสู้รบกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชน เป็นผลให้จอมพลถนอม กิตติขจร นายักรัฐมนตรี จอมพลประภาส จารุเสถียร และพันเอกณรงค์ กิตติขจร ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน 6 ตุลาคม 2519</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พล เรือเอกสงัด ชลออยู่ และคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศ เนื่องจากเกิดการจลาจล และรัฐบาลพลเรือนในขณะนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยทันที คณะปฏิวัติได้ประกาศให้มีการปฏิวัติการปกครอง และมอบให้นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 20 ตุลาคม 2520</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พล เรือเอกสงัด ชลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะนายทหารเข้ายึดอำนาจของรัฐบาล ซึ่งมีนายธานินทร์ กรัยวิเชียร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลได้รับความไม่พอใจจากประชาชน และสถานการณ์จะก่อให้เกิดการแตกแยกระหว่างข้าราชการมากยิ่งขึ้น ประกอบกับเห็นว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งมีระยะเวลาถึง 12 ปีนั้นนานเกินไป สมควรให้มีการเลือกตั้งขึ้นโดยเร็ว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบ ฎ 26 มีนาคม 2520</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พลเอกฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่ง ได้นำกำลังทหารจากกองพลที่ 9 จังหวัดกาญจนบุรี เข้ายึดสถานที่สำคัญ 4 แห่ง คือ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกสวนรื่นฤดี กองบัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนามเสือป่า และกรมประชาสัมพันธ์ ฝ่ายทหารของรัฐบาลพลเรือน ภายใต้การนำของ พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลอากาศเอกกมล เดชะตุงคะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลเอกเสริม ณ นคร ผู้บัญชาการทหารบก ได้ปราบปรามฝ่ายกบฏเป็นผลสำเร็จ พลเอกฉลาด หิรัญศิริ ถูกประหารชีวิตตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 21 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2520</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กบฎ 1 เมษายน 2524</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พล เอกสัณห์ จิตรปฏิมา ด้วยความสนับสนุนของคณะนายทหารหนุ่มโดยการนำของพันเอกมนูญ รูปขจร และพันเอกประจักษ์ สว่างจิตร ได้พยายามใช้กำลังทหารในบังคับบัญชาเข้ายึดอำนาจปกครองประเทศ ซึ่งมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเกิดความแตกแยกในกองทัพบก แต่การปฏิวัติล้มเหลว ฝ่ายกบฏยอมจำนนและถูกควบคุมตัว พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา สามารถหลบหนีออกไปนอกประเทศได้ ต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องการกบฏในครั้งนี้</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">การ ก่อความไม่สงบ 9 กันยายน 2528</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พันเอกมนูญ รูปขจร นายทหารนอกประจำการ ได้นำกำลังทหาร และรถถังจาก ม.พัน 4 ซึ่งเคยอยู่ใต้บังคับบัญชา และกำลังทหารอากาศโยธินบางส่วน ภายใต้การนำของนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร เข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด และประกาศให้ พลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในขณะที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี และพลเอกอาทิตย์ กำลังเอก ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก อยู่ในระหว่างการไปราชการต่างประเทศ กำลังทหารฝ่ายรัฐบาลโดยการนำของพลเอกเทียนชัย สิริสัมพันธ์ รองผู้บัญชากรทหารสูงสุด ได้รวมตัวกันต่อต้านและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ในเวลาต่อมา พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร หลบหนีออกนอกประเทศ การก่อความไม่สงบในครั้งนี้มีอดีตนายทหารผู้ใหญ่หลายคน ตกเป็นผู้ต้องหาว่ามีส่วนร่วมอยู่ด้วย ได้แก่ พลเอกเสริม ณ นคร พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ พลอากาศเอกพะเนียง กานตรัตน์ พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และพลอากาศเอกอรุณ พร้อมเทพ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐ ประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">โดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติซึ่ง ประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ เจ้าหน้าที่-ตำรวจ และพลเรือน ภายใต้การนำของพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ พลเอกสุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก พลเรือเอกประพัฒน์ กฤษณ-จันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พลอากาศเกษตร โรจนนิล ผู้บัญชาการทหารอากาศ พลตำรวจเอกสวัสดิ์ อมร-วิวัฒน์ อธิบดีกรมตำรวจ รองหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ และพลเอกอสิระพงศ์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารบก เลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ได้เข้ายึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521 ตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี </span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">รัฐประหาร 19 กันยายน 2549</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">มีพล.อ.สนธิ บุญยตกรินทร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">เป็นหัวหน้า</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ลำดับเหตุการณ์ ความเคลื่อนไหว การปฎิวัติยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">------------------------------------------------------------------------------------------</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">18.30 น. มีข่าวลือสะพัด กำลังทหารเตรียมเคลื่อนกำลังพล โดยมีรายงานว่าหน่วยรบพิเศษจากลพบุรีราว 1</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">กองพันเคลื่อนกำลังด่วนเข้า กรุงแล้ว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">19.00 น. ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ยืน ยัน ไม่มีการเคลื่อนไหวกำลังพล</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">19.30 น. แม่ทัพภาค 3 ยืนยัน ไม่มีการเคลื่อนกำลัง ยังฝึกปกติ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">20.00 น. นายทหารคนสนิทประธานองคมนตรี ยืนยัน มีการเข้าเฝ้า เมื่อช่วงเย็น เรื่องทำบุญ หม่อมหลวงบัว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.00 น. ทหารรบพิเศษ สองคันรถบัสเคลื่อนพลเข้ากองบัญชาการกองทัพบก สั่งปิดไฟสลก.</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.20 น. มีทหารเฝ้าประตูวังสุโขทัย มากกว่า 20</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.20 น.นายกฯสั่งช่อง 11 เตรียมการถ่ายทอดสดทางโทรศัพท์ จากนิวยอร์ค</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.35 น. เลขาธิการนายกฯเข้าทำเนียบ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.40 น. รถถ่ายทอดททบ.5เคลื่อนเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.40 น. นายกฯสั่งช่อง 9 เตรียมถ่ายทอดสดจากนิวยอร์ค</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21.45 น. เลขาฯนายก หอบเอกสารปึกใหญ่ นั่งรถ รองนายกฯชิดชัยออกจากทำเนียบรัฐบาล</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.00 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาลสั่งปิดประตู พร้อมวางกำลังเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือประจำการประมาณ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.10 น. ทหารเตรียมเคลื่อนกำลังออกจากม.พัน 4</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.13 น. ยานหุ้มเกราะ 20 คันเคลื่อนจากเกียกกายสู่ลานพระรูป ขณะที่รถถัง 3-4 คันเคลื่อนไปทำเนียบ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.14 น. ทหารเคลื่อนพลปิดล้อมทำเนียบ รัฐบาลแล้ว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.14 น. รถถัง 3 คันประจำการแยกเกียกกาย บ้านสี่เสาเทเวศน์ รถถังสองคันพร้อมรถบรรทุกกำลังพล 5</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">คันเคลื่อนออกจากกองพันทหารปืนใหญ่</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.20 น. วิทยุและโทรทัศน์ทหารเปิดเพลงมาร์ชกระหึ่ม ทหารยึดอสมท.</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.24 น. ทหารเคลื่อนกำลังพลปิดบ้านนายกฯ ขณะที่นายกฯประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินต้านทันควัน พร้อมสั่งย้าย</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ผบ.ทบ.เข้า รายงานตัวกับชิดชัย ตั้งผบ.สส.เป็นผู้มีอำนาจสั่งการตามพรก.</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.26 น. ทหารสั่งตัดไฟสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ขณะนายกฯกำลังประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.40 น. มีการตัดสัญญาณ ฟรีทีวีทุกช่อง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.41 น. Cnn รายงานสถานีวิทยุและโทรทัศน์ไทย ถูกปิดหมดแล้ว และมีรายงานการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.44 น. ทหารสั่งกักบริเวณ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22.55 น. ทหารปล่อยให้สื่อมวลชนกลับบ้านแล้ว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.00 น. ทหารควบคุมตัวพลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.05 น. มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองซึ่งประกอบด้วยสี่เหล่าทัพขอความร่วมมือจาก ประชาชนหลัง</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ควบคุมสถานการณ์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลไว้ได้โดยไม่มีการต่อ ต้าน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.10 น.เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารสั่งสถานีวิทยุ ในเครือกองทัพ( ๑๐๑</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">)เตรียมรับสัญญาณถ่ายทอดสดจากสถานีวิทยุ ๙๙.๕</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.15 น. ทหารสั่งปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">และ กักบริเวณไว้หน้าตึกไทยคู่ฟ้า</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.27 น. พลตรี ประพาส สกุนตนารถ ที่ปรึกษาททบ.๕ ออกแถลงการณ์ประกาศคณะปฏิรูปอย่างเป็นทางการ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.30 น. มีข้อความแพร่ไปทาง มือถืออ้างพลเอกเปรมปฏิวัติแต่ในหลวงไม่เอาด้วย</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.31 น. ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลที่ทำการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจาก การเลือกตั้ง</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.40 น. มีการสั่งปลดอาวุธ ตำรวจหน่วยอรินทราชและคอมมานโดทั้งหมด</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.50 น. มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองครั้งที่ ๒</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">แจงก่อเหตุเพราะมีการบริหาร ราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวาง องค์กรอิสระถูกครอบงำไม่เป็นไปตา</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">มเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมีอุปสรรค</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพของพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">คณะปฏิรูปไม่ประสงค์จะยึดอำนาจเพื่อ บริหารเอง แต่จะคืนอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">เป็น ประมุขให้ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.55 น. มีการตัดสัญญาณ โทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก ( ยูบีซี ) ช่อง ๕๓ ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23.59 น. ผู้บัญชาทหารทุกเหล่าทัพเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระตำหนักจิ ครลดารโหฐาน</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">พระราชวังดุสิต</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">00.24 น. มีรายงานการปะทะกันที่บริเวณกองพันทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์บางเขน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">00.28 น. พลตรี ประพาส สกุนตนารถ ที่ปรึกษาททบ.๕ อ่านแถลงการประกาศกฎอัยการศึกบังคบใช้ทั่วประเทศตั้งแต่</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">๒๑.๐๕ น.ของวันที่ ๑๙ กันยายน ๔๙ โดยมีพลเอก สนธิบุญรัตนกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">00.30 น. มีประกาศคณะปฎิรูป การปกครองฯฉบับที่ ๒ สั่งห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร</span><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">โดยไม่ได้รับคำสั่ง จากคณะปฏิรูป</span><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">ชื่อ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);"> รายนามนายกรัฐมนตรีไทย</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">1. พระยามโน ปกรณ์นิติธาดา</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">2. พัน เอก พระยาพหลพลพยุหเสนา</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">3. จอม พล แปลก พิบูลสงคราม</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">4. พัน ตรี ควง อภัยวงศ์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">5. นาย ทวี บุณยเกตุ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">6. หม่อม ราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">7. นาย ปรีดี พนมยงค์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">8. พล เรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">9. นาย พจน์ สารสิน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">10. จอม พล ถนอม กิตติขจร</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">11. จอม พล สฤษดิ์ ธนะรัชต์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">12. นาย สัญญา ธรรมศักดิ์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">13. พล ตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">14. นาย ธานินทร์ กรัยวิเชียร</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">15. พล เอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">16. พล เอก เปรม ติณสูลานนท์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">17. พล เอก ชาติชาย ชุณหะวัณ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">18. นาย อานันท์ ปันยารชุน</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">19. พล เอก สุจินดา คราประยูร</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">20. นาย ชวน หลีกภัย</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">21. นาย บรรหาร ศิลปอาชา</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">22. พล เอก ชวลิต ยงใจยุทธ</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">23. พัน ตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">24. พล เอก สุรยุทธ์ จุลานนท์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">25. นายสมัคร สุนทรเวช</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">26. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์</span><br /><br /><span style="color: rgb(255, 255, 0);">27. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ</span>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-52306872846927525592010-06-22T08:48:00.000-07:002010-06-23T08:04:35.862-07:00<div style="text-align: center;"><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://mcfah.files.wordpress.com/2009/12/p_r71.jpg"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 286px; height: 310px;" src="http://mcfah.files.wordpress.com/2009/12/p_r71.jpg" alt="" border="0" /></a><span style="color: rgb(255, 255, 51);font-size:180%;" ><span style="font-family:arial;">วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิถุนายน)</span></span><span style="color: rgb(255, 255, 51);font-family:arial;font-size:180%;" > </span><br /></div><span style="font-weight: bold;"><br /><br /></span><span style="font-size:85%;"><span style="color: rgb(255, 204, 0);">การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 คือ การปฏิวัติเพื่อ</span><strong style="color: rgb(255, 204, 0);">เปลี่ยนแปลงการปกครองของ ประเทศไทย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบอบประชาธิปไตย</strong><span style="color: rgb(255, 204, 0);"> โดยคณะราษฎร ในวันที่ </span><strong style="color: rgb(255, 204, 0);">24 มิถุนายน พ.ศ. 2475</strong></span> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"> เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ได้ใช้กลลวง นำทหารบกและทหารเรือมารวมตัวกันบริเวณรอบ พระที่นั่งอนันตสมาคม ประมาณ 2000 คน ตั้งแต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอ้างว่าเป็นการสวนสนาม จากนั้นนายพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้อ่าน ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เสมือน ประกาศยึดอำนาจการปกครอง ก่อนจะนำกำลังแยกย้ายไปปฏิบัติการต่อไป</span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"> หลักฐานประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นหมุดทองเหลือง ฝังอยู่กับพื้นถนน บนลานพระบรมรูปทรงม้า ด้านสนามเสือป่า (ถ้าหันหน้าไปทางเดียวกับหัวม้า จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ) มีข้อความว่า <strong>"ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎร ได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ เพื่อความเจริญของชาติ"</strong> เป็นหลักฐานถึงเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์เมื่อ 72 ปีก่อน ข้อความเหล่านี้นับวันแต่จะเลือนหายไปตามกาลเวลา<br /><br /> คณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิ ราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้นประกอบด้วยคนสองกลุ่ม คือ </span></p> <ol style="color: rgb(255, 204, 0);"><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">กลุ่มนักเรียนไทยในต่างประเทศ </span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">กลุ่มนายทหารในประเทศไทย</span></div></li></ol> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">บุคคลทั้งสองกลุ่มพื้นฐานการศึกษาคล้ายกัน คือ <strong>ศึกษาวิชาพื้นฐานหรือวิชาชีพจากประเทศทางตะวันตก</strong> ใกล้ชิดกับการปกครองของประเทศที่ตนไปศึกษา คือ ได้สัมผัสกับบรรยากาศการปกครองในระบอบประธิปไตย เห็นความเจริญก้าวหน้าจากการที่ประชาชนในยุโรปตะวันตกมีส่วนร่วมในการปกครอง ประกอบกับบุคคลทั้งสองกลุ่มเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาสูง ส่วนใหญ่ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง จึงกำหนดในความคิดว่าตนควรจะมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ</span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"> คณะผู้ก่อการยึดอำนาจการปกครอง ได้รวมกลุ่มกันที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ พ.ศ. 2469 ได้มีข้อขัดแย้งกับผู้ดูแลนักเรียนไทยในฝรั่งเศสซึ่งเป็นพระราชวงศ์องค์ หนึ่ง ซึ่งกล่าวหาว่านักเรียนไทยเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัย ควรเรียกบางคนกลับประเทศไทยำให้นักเรียนในต่างประเทศมีพื้นฐานการไม่พอใจ สถานการณ์บ้านเมืองเป็นส่วนตัว คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่เป็นนักเรียนไทยในต่างประเทศเมื่อกลับ มาถึงประเทศไทย ก็ได้เตรียมการวางแผนยึดอำนาจโดยชักชวนให้กลุ่มนายทหารเข้าร่วมด้วย การยึดอำนาจการปกครองของประเทศไทยมีผู้กระทำมาครั้งหนึ่งแล้วใน <strong>ร.ศ.130</strong> กระทำไม่สำเร็จ ดังนั้นคณะราษฎรจึงได้วางแผนอย่างดีป้องกันข้อบกพร่องที่อาจมีขึ้น และการชัดชวนทหารเข้าร่วมด้วยจึงทำให้เกิดความสำเร็จเพราะทหารมีอาวุธ ผู้บริหารประเทศยินยอมให้คณะราษฎรยึดอำนาจไม่โต้แย้ง ด้วยเกรงว่าพระบรมวงศานุวงศ์จนถึงประชาชนจะเป็นอันตรายเพราะอาวุธ</span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"> <strong>ชนวนที่ทำให้คณะราษฎรลงมือ วางแผนยึดอำนาจมีหลายสาเหตุ </strong> ได้แก่</span></p> <ul style="color: rgb(255, 204, 0);"><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;"><strong>สาเหตุแรก</strong> สภาพบ้าน เมืองในช่วงเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสถาปนาอภิรัฐมนตรีสภาซึ่งสมาชิกทั้งหมดเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยเหตุผลที่จำให้แก้สถานการณ์ที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่แตกแยกกัน อภิรัฐมนตรีสภาช่วยแบ่งเบาพระราชกรณียกิจได้หลายประการแต่ความคิดของผู้ใหญ่ และของผู้เยาว์กว่าย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นการยับยั้งข้อเสนอบางเรื่องโดยเฉพาะพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระ ปกเกล้าเย้าอยู่หัวที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนชาวไทยในวาระราชวงศ์ จักรีทรงปกครองแผ่นดินมาครบ 150 ปี จึงทำให้คณะราษฎรและกลุ่มหนังสือพิมพ์มองว่า พวกเจ้าหลงกับอำนาจ<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;"><strong>สาเหตุที่สอง</strong> ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สืบเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และการใช้จ่ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว การแก้ไขคือ การดุลข้าราชการ ยุบเลิกหน่วยงานต่าง ๆ ตัดทอนค่าใช้จ่ายของกระทรวง กรม กอง และเก็บภาษีบางประการเพิ่มการแก้ไขดังนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ผู้เสีย ประโยชน์ ในวงการทหารก็เช่นกัน การขัดแย้งเรื่องงบประมาณกระทรวงกลาโหม จนถึงเสนาบดีกระทรวงกลาโหมขอลาออกจากราชการ จึงเป็นเหตุให้นายทหารคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในขณะที่มีการดุลข้าราชการออก ก็มีกลุ่มบุคคลมองว่าดุลออกเฉพาะสามัญชน ส่วนข้าราชการที่เป็นเจ้าไม่ต้องถูกดุล แล้วยังบรรจุเข้าทำงานแทนสามัญชนอีก ความแตกต่างทางฐานะด้านสังคมก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;"><strong>สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็คือ</strong> ความล่าช้าในการบริหารราชการแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชประสงค์จะฝึกข้าราชการในสภากรรมการองคมนตรีให้เรียนรู้วิธีการ ประชุม ปรึกษาแบบรัฐสภาเพื่อเตรียมการพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็ทำได้อย่างไม่มีผลเท่าไรนักพระราชบัญญติเทศบาลซึ่งจะเป็นรากฐานของการ ปกครองตนเองก็ยังไม่ได้ประกาศออกใช้ และข้อสุดท้ายคือ ร่างรัฐธรรมนูญที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงให้ผู้ชำนาญการร่างไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่ได้พระราชทานแก่ประชาชน</span></div></li></ul> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"> การเปลี่ยนแปลงการปกครองกระทำได้สำเร็จ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน การปกครองของประเทศจึงเปลี่ยนไป คือมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ</span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"> </p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span class="fontbold"><a name="76 ปี ประชาธิปไตยไทย"></a><span style="font-size:85%;"><strong><u><span style="font-size:100%;">76 ปี ประชาธิปไตยไทย</span></u></strong> </span></span><br /><br /><span style="font-size:85%;">การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุครัตนโกสินทร์ ยั่งยืนมา <strong>150 ปี</strong> จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎรได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จนบัดนี้กำลังล่วงลุสู่ปีที่ 76 ในวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ที่จะถึงนี้ </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">เมื่อวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติได้ออกประกาศเรียกว่า <strong>ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1</strong> อ้างเหตุผลความจำเป็นในการต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองความว่า </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">"เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ ครองราชย์สมบัติสืบต่อพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์หาเป็นไปตามหวังที่คิดไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายตามเดิมทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้ คุณงามความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินทองของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้ในการตกต่ำในการเศรษฐกิจและความฝืดเคืองทำมาหากิน ซึ่งราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย มิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิได้ปกครองประเทศ เพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆได้กระทำกัน ..... ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว" </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">"ฯลฯ.......เหตุ ฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของรัฐบาลของกษัตริย์ไว้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่า การที่จะแก้ความชั่วร้ายก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่มีประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองของแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความเห็นนี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจล งม าก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่า ราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุก ๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้าน มาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฎหมายทำมาแล้ว" </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">คณะผู้ก่อการปฏิวัติล้มล้างระบอบกษัตริย์ ได้ประกาศนโยบาย โดยเรียกว่า <strong>"หลักใหญ่ๆที่คณะราษฎรวางไว้"</strong> มีอยู่ว่า<br /></span></p> <ol style="color: rgb(255, 204, 0);"><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทาง เศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎร เช่นที่เป็นอยู่)<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลักสี่ประการดังกล่าวข้างต้น<br /></span></div></li><li> <div align="left"><span style="font-size:85%;">จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร </span></div></li></ol> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติ ได้ให้ความหวังแก่ประชาชนในแถงการณ์สุดท้ายว่า "ราษฎร ทั้งหลาย จงพร้อมกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันคงจะอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือ กฎหมาย พึงตั้งอยู่ในความสงบและตั้งหน้าหากิน อย่าทำการใดๆอันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลนของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาส พวกเจ้าหมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า "ศรีอาริย์" นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า" </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระปก เกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณาประชาราษฎร ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อ รวมทั้งความเสียหายแก่บ้านเมือง และเนื่องจากพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบ ประชาธิปไตยอยู่แล้ว จึงไม่ทรงขัดความปรารถนาของคณะราษฎรที่ได้กราบบังคมทูลเชิญเป็นพระมหา กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองและได้พระราชทาน รัฐธรรมนูญ ฉบับถาวรดังกล่าว เหตุการณ์บ้านเมือง มีความสับสนวุ่นวาย อาญาสิทธิในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลายเป็นการผูกขาดอำนาจเผด็จการในระบอบ ประชาธิปไตยที่คณะราษฎรกำหนดให้ จนมีคำกล่าวขานเป็นคำคล้องจองว่า<strong> "พระยาพหลต้นคิด หลวงประดิษฐ์ต้นเรื่อง โค่นอำนาจพระราชา ปล่อยหมูปล่อยหมามานั่งเมือง" </strong></span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">วันที่ 2 มีนาคม 2477 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสละราชสมบัติ โดยพระราชหัตถเลขา ความว่า </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"><strong>"ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัว บุคคลและหลักความยุติธรรม ตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใด คณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ </strong></span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;"><strong>ข้าพเจ้ามี ความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชน"</strong> </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">76 ปีที่ผ่านมาจนบัดนี้ สถานการณ์บ้านเมืองดังที่คณะราษฎรได้หยิบยกขึ้นมาประกอบเพื่อเป็นเหตุผลใน การปฏิวัติยังคงมีอยู่อย่างครบถ้วนทุกประการ ซ้ำร้ายหลายประการยิ่งเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่า<strong>"คนสอพลอไร้คุณงาม ความรู้ขึ้นดำรงตำแหน่งหน้าที่สำคัญๆ การไม่ฟังเสียงราษฎร การปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในการรับสินบนทุจริตคอรัปชั่น การหากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน การปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม การทำตนอยู่เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้"</strong> หลักใหญ่ 5 ประการที่เสมือนนโยบายดังได้ประกาศไว้ และให้ความหวังไว้ว่าจะนำความสุขความเจริญอย่างประเสริฐเยี่ยง "ศรีอาริย์" มาบังเกิดแก่ราษฎรถ้วนหน้า ดูเหมือนกำลังจะนำพาประเทศชาติไปสู่ <strong>"กลียุค"</strong> เข้าทุกขณะ </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 และฉบับต่อมาหลายฉบับ คือการ <strong>"ล้มเจ้า"</strong> และบังอาจจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยและร้ายแรงที่สุดต่อ สาธารณะ </span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">วันที่ <strong>9 มิถุนายน 2489</strong> พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงขึ้นครองราชย์ ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยพระราชปณิธานว่า <strong>"เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" </strong></span></p> <p style="color: rgb(255, 204, 0);" align="left"><span style="font-size:85%;">62 ปี ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล และทศพิธราชธรรมที่มั่นคง เป็นสิ่งที่นำพาชาติไทยให้ร่มเย็นเป็นสุขและอยู่รอดตลอดมา</span></p>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-27773611917024687252010-06-22T08:31:00.000-07:002010-06-22T08:46:47.381-07:00<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://statics.atcloud.com/files/entries/7/73584/images/1_original.JPG"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 475px; height: 346px;" src="http://statics.atcloud.com/files/entries/7/73584/images/1_original.JPG" alt="" border="0" /></a><br /><div style="text-align: center; font-family: arial; font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);"><span style="font-size:180%;">กบฏ ร.ศ. 130</span> <span style="font-size:180%;"><br /></span></div><p style="color: rgb(102, 255, 153);"><b>กบฏ ร.ศ. 130</b> หรือ <b>กบฏเก็กเหม็ง</b> หรือ <b>กบฏน้ำลาย</b> เกิดขึ้นในปี <span style="text-decoration: underline;">พ.ศ.2455</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);">(ร.ศ. 130) ก่อน</span><a style="color: rgb(102, 255, 153);" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2475" title="การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475">การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475</a><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> สองทศวรรษในสมัย</span><span style="text-decoration: underline;">รัชกาล ที่6</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> เมื่อนายทหารและปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง วางแผนปฏิบัติการโดยหมายให้พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทาน</span><span style="text-decoration: underline;">รัฐธรรมนูญ</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);">ให้ และเปลี่ยนแปลงการปกครองสู่</span><span style="text-decoration: underline;">ระบอบประชาธิปไตย</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> แต่แผนการแตกเสียก่อน จึงมีการจับกุมผู้คิดก่อการหลายคนไว้ได้ 91 คน คณะตุลาการ</span><span style="text-decoration: underline;">ศาลทหาร</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);">มีการพิจารณาตัดสินลงโทษ ให้จำคุกและประหารชีวิต โดยให้ประหารชีวิตหัวหน้าผู้ก่อการจำนวน 3 คน คือ ร.อ.</span><span style="text-decoration: underline;">เหล็ง ศรีจันทร์</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> ร.ท.</span><span style="text-decoration: underline;">จรูญ ณ บางช้าง</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> และ ร.ต.</span><span style="text-decoration: underline;">เจือ ศิลาอาสน์</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต 20 คน จำคุกยี่สิบปี 32 คน จำคุกสิบห้าปี 6 คน จำคุกสิบสองปี 30 คน </span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> แต่</span><span style="text-decoration: underline;">พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);">ได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย และได้มีพระบรมราชโองการ</span><span style="text-decoration: underline;">พระราชทานอภัยโทษ</span><span style="color: rgb(102, 255, 153);"> ละเว้นโทษประหารชีวิต ด้วยทรงเห็นว่า ทรงไม่มีจิตพยาบาทต่อผู้คิดประทุษร้ายแก่พระองค์</span></p> <p style="color: rgb(102, 255, 153);">คณะผู้ก่อการได้รวมตัวกันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2455 ประกอบด้วยผู้ร่วมคณะเริ่มแรกจำนวน 7 คน คือ </p> <ul style="color: rgb(102, 255, 153);"><li>ร.อ.<span style="text-decoration: underline;">ขุนทวยหาญพิทักษ์</span> (หมอเหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้า</li><li>ร.ต.เหรียญ ศรีจันทร์ จาก กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์</li><li>ร.ต.จรูญ ษตะเมษ จากกองปืนกล รักษาพระองค์</li><li>ร.ต.เนตร์ พูนวิวัฒน์ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์</li><li>ร.ต.ปลั่ง บูรณโชติ จาก กองปืนกล รักษาพระองค์</li><li>ร.ต.หม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร จาก โรงเรียนนายสิบ</li><li>ร.ต.เขียน อุทัยกุล จาก โรงเรียนนายสิบ</li></ul> <p style="color: rgb(102, 255, 153);">คณะผู้ก่อการวางแผนจะก่อการในวันที่ <span style="text-decoration: underline;">1 เมษายน</span> ซึ่งเป็นวันพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และวันขึ้นปีใหม่ ผู้ที่จับฉลากว่าต้องเป็นคนลงมือลอบปลงพระชนม์ คือ ร.อ.<span style="text-decoration: underline;">ยุทธ คงอยู่</span> (หลวงสินาด โยธารักษ์) เกิดเกรงกลัวความผิด จึงนำความไปแจ้งหม่อมเจ้าพันธุ์ประวัติ ผู้บังคับการกรมทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ และพากันนำความไปแจ้ง<span style="text-decoration: underline;">สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ</span><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96_%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B8%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%96" title="สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ"><br /></a></p> <p style="color: rgb(102, 255, 153);">ความทราบไปถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ที่<span style="text-decoration: underline;">พระราชวังสนามจันทร์จังหวัด</span>นครปฐมคณะทั้งหมดจึงถูกจับกุมเมื่อวันที่ <span style="text-decoration: underline;">27กุมภาพันธ์</span> ถูกส่งตัวไปคุมขังที่คุกกองมหันตโทษ ที่สร้างขึ้นใหม่ และได้รับพระราชทานอภัยโทษในพระราชพิธีฉัตรมงคล เดือนพฤศจิกายน <span style="text-decoration: underline;">พ.ศ 2467</span> ครบรอบปีที่ 15 ของการครองราชย์</p>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-64210653420191754482010-06-22T08:08:00.000-07:002010-06-22T08:21:56.586-07:00<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.rt.ac.th/computer/uploads/img4adaa5ae6ec49.jpg"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 350px; height: 249px;" src="http://www.rt.ac.th/computer/uploads/img4adaa5ae6ec49.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><br /><div style="text-align: center; font-family: arial; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:180%;"><span style="font-size: 16pt;"> <span lang="TH">การปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ 5</span></span></span></div><p style="margin: 7.2pt 0cm 14.4pt; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> </p> <p><b><span style="font-size: 16pt; color: rgb(51, 51, 51); font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span></b><span style="font-size: 16pt; color: rgb(51, 51, 51);"><br /> <span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);font-size:130%;" ><span lang="TH">มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการแผ่นดินดังนี้ ตั้งสภาแผ่นดิน</span> 2 <span lang="TH">สภาได้แก่</span><br />1. <span lang="TH">รัฐมนตรีสภา ประกอบด้วยขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ มีพระองค์ท่านเป็นประธาน รัฐมนตรีสภามีหน้าที่ถวายคำปรึกษาราชการแผ่นดิน รวมทั้งพิจารณาพระราชบัญญัติ พระราชกำหนดกฎหมายต่าง ๆ <o:p></o:p></span></span></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);font-size:130%;" ><span style="font-size: 16pt;">2. <span lang="TH">องคมนตรีสภา ประกอบด้วยสมาชิก </span>49 <span lang="TH">คน ทำหน้าที่เป็นสภา ที่ปรึกษา ราชการในพระองค์และมีหน้าที่ปฏิบัติราชการแผ่นดินตามแต่จะมีพระราชดำรัส</span> <o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ปฏิรูปองค์การบริหารในส่วน กลางใหม่ดังนี้ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span></span></p> <p style="margin: 7.2pt 0cm 14.4pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><br /><span lang="TH">กรมมหาดไทย กรมกลาโหม กรมเมือง กรมวัง กรมท่า และกรมนา คือ 6 กรมเดิมที่มีมาและต่อมาได้ตั้งขึ้นใหม่อีก </span>6 <span lang="TH">กรม</span> <span lang="TH">ได้แก่ กรมพระคลัง กรมยุติธรรม กรมธรรมการ กรมโยธาธิการ กรมยุทธนาธิการ และ กรมมุรธาธร รวมเป็น </span>12 <span lang="TH">กรม ต่อมายกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง ภายหลังได้ยุบกระทรวงยุทธนาธิการเข้ากับ กระทรวงกลาโหม และ กระทรวงมุรธาธรรวมเข้ากับกระทรวงวัง คงเหลือ </span>10 <span lang="TH">กระทรวงดังนี้</span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><br /><br /></span></span> </p> <div style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="Section2"> <p style="margin: 7.2pt 0cm 14.4pt;" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1. <span lang="TH">กระทรวงมหาดไทย</span><br />2. <span lang="TH">กระทรวงกลาโหม</span><br />3. <span lang="TH">กระทรวงนครบาล</span><br />4. <span lang="TH">กระทรวงการต่างประเทศ</span><br />5. <span lang="TH">กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ</span><br />6. <span lang="TH">กระทรวงวัง</span><br />7. <span lang="TH">กระทรวงเกษตราธิการ</span><br />8. <span lang="TH">กระทรวงยุติธรรม</span><br />9. <span lang="TH">กระทรวงโยธาธิการ</span><br />10. <span lang="TH">กระทรวงธรรมการ </span></span></span> </p> <p style="margin: 7.2pt 0cm 14.4pt;" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><br /><br /> </span></span> </p> </div> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวงต่าง ๆ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้</span><span style="font-size: 16pt;"> </span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"> <o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1. <u><span lang="TH">กระทรวงมหาดไทย</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือรวมทั้งประเทศราศทางเหนือ</span><br />2. <u><span lang="TH">กระทรวงกลาโหม</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ กรมทหารเรือ กรมช้าง กรมแสง</span><br />3. <u><span lang="TH">กระทรวงการต่างประเทศ</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่จัดการเรื่องเกี่ยวกับการต่างประเทศ</span><br />4. <u><span lang="TH">กระทรวงนครบาล</span></u><span lang="TH"> มีหน้าที่จัดการในเรื่องความปลอดภัยในพระนคร </span><span> </span><br />5.<u><span lang="TH">กระทรวงวัง</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนักและพระราชพิธีต่าง ๆ</span><br />6. <u><span lang="TH">กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มีหน้าที่บังคับบัญชาการเก็บภาษีอากรและการเงินของแผ่นดิน</span><br />7. <u><span lang="TH">กระทรวงเกษตรและพาณิชยการ</span></u><span lang="TH"> มีหน้าที่จัดการเรื่องเพาะปลูก การป่าไม้ การค้า และโฉนดที่ดิน</span><br />8. <u><span lang="TH">กระทรวงยุติธรรม</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่จัดการเรื่องเกี่ยวกับศาล</span><br />9. <u><span lang="TH">กระทรวงยุทธนาธิการ</span></u><span lang="TH"> <span> </span>มี หน้าที่จัดการเกี่ยวกับทหารบกและทหารเรือ</span><br />10. <u><span lang="TH">กระทรวงธรรมการ</span></u><span lang="TH"> มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องศาสนา การศึกษา การพยาบาล และพิพิธภัณฑ์</span> <br />11. <u><span lang="TH">กระทรวงโยธาธิการ</span></u><span lang="TH"> มีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องการก่อสร้าง การไปรษณีย์ การสื่อสาร</span><br />12. <u><span lang="TH">กระทรวงมุรธาธร</span></u><span lang="TH"> มีหน้าที่ดูแลรักษาพระราชลัญจกร<span> </span>หนังสือราชการเกี่ยวกับพระ มหากษัตริย์</span> </span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"> <o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"> <o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">กระทรวงต่างๆ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> </span></span></p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span></span> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวงมหาดไทย </span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการบำบัดทุกข์บำรุงสุข การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน การส่งเสริมและพัฒนาการเมืองการปกครอง</span><span style="font-size: 16pt;"> <span lang="TH">สื่อมวลชนไทย มักจะเรียกขาน กระทรวงมหาดไทย ว่า กระทรวง คลองหลอด <span> </span></span></span></span> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><span></span></span></span></span> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><span></span></span></span></span> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><span></span></span></span></span> </p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><span></span></span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"><span></span></span><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt;"> <u><span lang="TH">หน้าที่และความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย</span></u><span lang="TH"> <span> </span>สรุปได้ 4 ประการ คือ</span> </span></span></p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">1.ด้านการเมืองการ ปกครอง</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> กระทรวงมหาดไทยมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการอำนวยการเลือกตั้ง ส่งเสริมการปกครองระบอบประชาธิปไตย และการรักษาความมั่นคงของชาติ </span></span></p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt;" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">2.ด้านเศรษฐกิจ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> กระทรวงมหาดไทยมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพและความเป็นอยู่ของ ประชาชน รับผิดชอบการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกร การพัฒนาแหล่งน้ำ</span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt;" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">3. ด้านสังคม กระทรวงมหาดไทยมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาเยาวชน และการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม เป็นต้น</span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt;" lang="TH"> </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">4.ด้านการพัฒนาทางกายภาพ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"> กระทรวงมหาดไทยมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดชุมชนการจัดที่ดิน และการให้บริการสาธารณูปโภคในเขตเมือง </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">กระทรวงกลาโหม</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลที่รับผิดชอบทางด้านการป้องกัน ประเทศ ประกอบด้วยหน่วยงานทางการทหารหลายสาขา </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt;" lang="TH">กระทรวงนครบาล<span> </span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span></span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>ในสมัยรัชกาลที่ 5ได้ทรงจัดตั้ง "กระทรวงนครบาล"ขึ้น มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยและการปกครองท้องที่ มีหน่วยงาน กรมกองตระเวน (ตำรวจ) และทรงแต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ เป็นเสนาบดีว่าการกระทรวงนครบาล ทรงได้รับสนองพระบรมราชโองการล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 โดยปฏิรูปงานของกรมพลตระเวนหรือตำรวจนครบาลให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น และกำหนดระบบงานต่างๆขึ้นมามากมาย อันถือเป็นรากฐานสำคัญในการจัดระบบราชการ และของตำรวจนครบาลตั้งแต่นั้นมารัชกาลที่ 5 ทรงเร่งรัดงานตำรวจมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ปรากฏเป็นพระราชหัตเลขาหลายฉบับ ที่พระองค์ทรงเอาใจใส่ ดังนั้นการที่ตำรวจนครบาลในยุคปัจจุบันที่ถูกเร่งรัดงานจากผู้บังคับบัญชา ระดับสูง </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวง การต่างประเทศ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการต่างประเทศและราชการ อื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้ เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แยกราชการด้านการคลังออกจากกรมท่า ตราบัวแก้วจึงเป็นตราประจำตำแหน่งเสนาบดีจตุสดมภ์ กรมท่า และต่อมาเมื่อได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดระบบราชการใหม่โดยแบ่งเป็น </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">12<span lang="TH"> กระทรวง ตราบัวแก้ว จึงเป็นตราประจำเสนาบดีว่าการต่างประเทศ และกลายมาเป็นตราของกระทรวงการต่างประเทศ<span> </span></span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>กระทรวงการคลัง </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span>เป็นหน่วยงานราชการที่ทำหน้าที่ เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน การภาษีอากร การรัษฎากร กิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุ กิจการอันกฎหมายบัญญัติให้เป็นการผูกขาดของรัฐ กิจการหารายได้ซึ่งรัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียวตามกฎหมายและไม่ อยู่ในอำนาจหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมอื่น และกิจการซึ่งจะเป็นสัญญาผูกพันต่อเมื่อรัฐบาลได้ให้อำนาจหรือสัตยาบัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริว่า การบริหารการคลังของประเทศประสบปัญหาเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรและการจัด ระบบการคลัง</span><span style="font-size: 16pt;"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวงศึกษาธิการ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม สร้างความเสมอภาคและโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมทางการศึกษา ส่งเสริมการศึกษาวิชาชีพ ให้เอกชนมีส่วนร่วมในการศึกษา เน้นให้นิสิตนักศึกษามีโอกาสศึกษาต่อสูงขึ้นทั้งในท้องถิ่นและสถาบันเปิด เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้บริการแก่สังคม พัฒนาบุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมผู้ที่มีความสามารถพิเศษให้ได้เรียนและแสดงออกในทางที่เหมาะสม ประวัติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการก่อตั้ง "กระทรวงธรรมการ" ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดูแลศาสนา การศึกษา การพยาบาล และพิพิธภัณฑ์ เมื่อวันที่ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1<span lang="TH"> เมษายน พ.ศ. </span>2435<span lang="TH"> ซึ่งกระทรวงธรรมการมีการเปลี่ยนชื่อไปมาหลายครั้งระหว่างชื่อ "กระทรวงธรรมการ" และ "กระทรวงศึกษาธิการ" อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี พ.ศ. </span>2484<span lang="TH"> ก็ได้ใช้ชื่อว่า "กระทรวงศึกษาธิการ" ตั้งแต่นั้นมา โดยมีที่ทำการอยู่ที่ "วังจันทรเกษม" จนถึงปัจจุบัน </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span> </span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span></span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span> </span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">การบริหารราชการส่วนภูมิภาค </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH">โปรดฯให้จัดระเบียบบริหารราชการหัวเมืองใหม่ ให้ยกเลิกเมืองพระยามหานคร ชั้นเอก โท ตรี จัตวา และหัวเมืองประเทศราช โดยจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล ให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว ปรากฎว่าในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2449<span lang="TH"> ได้จัดแบ่งพระราชอาณาจักรออกเป็น </span>18<span lang="TH"> มณฑลดังนี้ </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลลาวเฉียงหรือมณพลพายัพ มีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลลาวพวนหรือมณฑลอุดร มีศูนย์กลางอยู่ที่หนองคาย </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลลาวกาวหรือมณฑลอีสาน มีศูนย์กลางอยู่ที่จำปาศักดิ์ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลเขมร หรือมณฑลบูรพา มีศูนย์กลางอยู่ที่พระตะบอง </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลลาวกลางหรือมณฑลราชสีมา มีศูนย์กลางอยู่ที่นครราชสีมา </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลภูเก็ต มีศูนย์กลางอยู่ที่ภูเก็ต </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลพิษณุโลก มีศูนย์กลางอยู่ที่พิษณุโลก </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลปราจีนบุรี มีศูนย์กลางอยู่ที่ปราจีนบุรี </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลราชบุรี มีศูนย์กลางอยู่ที่ราชบุรี </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลนครชัยศรี มีศูนย์กลางอยู่ที่นครปฐม </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลนครสวรรค์ มีศูนย์กลางอยู่ที่นครสวรรค์ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลกรุงเก่า มีศูนย์กลางอยู่ที่อยุธยา </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลนครศรีธรรมราช มีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราช </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลไทรบุรี มีศูนย์กลางอยู่ที่ไทรบุรี </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลจันทบุรี มีศูนย์กลางอยู่ที่จันทบุรี </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลปัตตานี มีศูนย์กลางอยู่ที่ปัตตานี </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลชุมพร มีศูนย์กลางอยู่ที่ชุมพร </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลกรุงเทพฯ มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพมหานคร </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">มณฑลกรุงเทพฯ ประกอบด้วย </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">6<span lang="TH"> เมืองได้แก่ พระนคร ธนบุรี ปทุมธานี นนทบุรี นครเขื่อนขันธ์ และสมุทรปราการ</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ในปี พ.ศ. </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2440<span lang="TH"> ทรงตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ขึ้น สำหรับจัดการปกครองในเขตอำเภอ ตำบลและหมู่บ้าน ตามแผนภูมิดังนี้ </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><span> </span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span></span> </p> <div style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" align="center"> <table style="width: 100%;" class="MsoNormalTable" width="100%" border="1" cellpadding="0"> <tbody> <tr> <td style="width: 50%; background-color: transparent; border: medium none rgb(236, 233, 216); padding: 0.75pt; color: rgb(255, 255, 0);" width="50%"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"> <span lang="TH">องค์กร </span><o:p></o:p></span></span></td> <td style="width: 50%; background-color: transparent; border: medium none rgb(236, 233, 216); padding: 0.75pt; color: rgb(255, 255, 0);" width="50%"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"> <span lang="TH">ผู้บังคับบัญชา</span><o:p></o:p></span></span></td> </tr> <tr> <td style="background-color: transparent; border: medium none rgb(236, 233, 216); padding: 0.75pt; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กระทรวงมหาดไทย</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><br /> <span lang="TH">มณฑลเทศาภิบาล</span><br /> <span lang="TH">เมือง </span> <br /> <span lang="TH">แขวง (อำเภอ) </span><br /> <span lang="TH">ตำบล</span> <br /> <span lang="TH">หมู่บ้าน </span><o:p></o:p></span></span></td> <td style="background-color: transparent; border: medium none rgb(236, 233, 216); padding: 0.75pt; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เสนาบดี</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><br /> <span lang="TH">ข้าหลางเทศาภิบาลหรือสมุหเทศาภิบาล</span><br /> <span lang="TH">ผู้ว่าราชการเมือง</span><br /> <span lang="TH">หมื่น (นายอำเภอ)</span><br /> <span lang="TH">พัน (กำนัน)</span><br /> <span lang="TH">ทนาย (ผู้ใหญ่บ้าน) </span><o:p></o:p></span></span></td> </tr> </tbody> </table> </div> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt;" lang="TH"><span> </span>การปรับปรุงกฎหมายและการศาล </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span></span></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">โปรดฯ ให้รวบรวมศาลที่สังกัดกระทรวงและไม่สังกัดทั้งหมด มาขึ้นกับกระทรวงยุติธรรมนับว่าเป็นการแยกอำนาจ ตุลาการ ออกจาก ฝ่ายบริหารได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย </span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> </span></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"><strong>สิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขทาง ด้านการศาลมีดังนี้</strong> </span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1. <span lang="TH">ศาลในกรุง โปรดฯ ให้ตั้ง ศาลโปริสภา สำหรับทำหน้าที่เปรียบเทียบคดีความวิวาทของราษฎรที่เกิดขึ้นในท้องที่ และเป็นคดีที่มีโทษขนาดเบา ต่อมา ศาลโปริสภา ได้เปลี่ยนเป็น ศาลแขวง เมื่อ </span>1<span lang="TH"> ตุลาคม </span>2478 <o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2. <span lang="TH">ศาลหัวเมือง โปรดฯ ให้จัดตั้งกองข้าหลวงพิเศษ ขึ้นคณะหนึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เป็นประธาน จัดการแก้ไขธรรมเนียมศาลยุติธรรมทั่วพระราชอาณาจักร ให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมด กองข้าหลวงพิเศษชุดนี้ มีหน้าที่สำคัญ </span>2<span lang="TH"> ประการคือ</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2.1<span lang="TH"> จัดตั้งศาลยุตธรรมสำหรับพิจารณาคดีขึ้นตามหัวเมืองทั้งปวงเสียใหม่</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2.2<span lang="TH"> ชำระสะสางคดีความที่ค้างอยู่ในศาลตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้หมดสิ้นไป</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3. <span lang="TH">จัดแบ่งชั้นของศาล </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เพื่อให้ระเบียบการศาลยุติธรรมมีความเป็น ระเบียบเรียบร้อบเป็นหลักฐานมั่งคงยิ่งขึ้น ก็โปรดฯให้ตราพระธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ขึ้นเมื่อ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1<span lang="TH"> มิถุนายน </span>2451<span lang="TH"> โดยแบ่งศาลออกเป็น </span>3<span lang="TH"> แผนก คือ </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3.1<span lang="TH"> ศาลฎีกา </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3.2<span lang="TH"> ศาลสถิตย์ยุติธรรมกรุงเทพฯ </span><o:p></o:p></span></span></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3.3<span lang="TH"> ศาลหัวเมือง</span></span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><span lang="TH"></span><o:p></o:p></span> </span></p> <p style="margin: 0cm 0cm 0pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> <span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">สิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขทางด้านกฎหมาย มีดังนี้ </span></span> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="font-size:130%;"><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH"></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span> <span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1. <span lang="TH">ได้จ้างชาวต่างประเทศที่ มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย เข้ามารับราชการเป็นที่ปรึกษา เช่น</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ดร. โรลัง ยัคมินส์ ชาวเบลเยี่ยม ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น เจ้าพระยาอภัยราชาสยามมานุกูลกิจ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">นายโตกีจิ มาซาโอะ ชาวญี่ปุ่น ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น พระยามหิธรรมนูปกรณ์โกศลคุณ</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">นายวิลเลียม อัลเฟรด ติลเลเก ชาวศรีลังกา ต่อมาได้รับการโปรดเกล้าฯ เป็น พระยาอรรถการประสิทธิ์</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2. <span lang="TH">ได้โปรดฯให้ตั้ง กองร่างกฎหมาย สำหรับทำหน้าที่ตรวจสอบชำระบรรดาพระราชกำหนดกฎหมาย</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ ตัวบทกฎหมายที่ทันสมัยตามแบบอารยประเทศ โดยมีกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์เป็นประธาน </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3. <span lang="TH">ตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้นเป็น ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. </span>2440<span lang="TH"> โดยมีกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เสนาบดีกระทรวง ยุติธรรมเป็นผู้อำนวยการ ด้วยเหตุนี้ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ จึงได้รับการว่าเป็น พระบิดาแห่งกฎหมายและการศาลไทย</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">4. <span lang="TH">ยกเลิกการลงโทษแบบจารีตนครบาล จากผลการปฏิรูปการศาลและการชำระกฎหมายให้ทันสมัย ทำให้ การพิจารณาคดีแบบจารีตและวิธีลงโทษแบบป่าเถื่อนทารุณต่าง ๆ ได้ถูกยกเลิกไปโดยสิ้นเชิง</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การทหาร</span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">เริ่มการฝึกทหารตามแบบยุโรปเพื่อใช้ป้องกันราช อาณาจักร ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">4<span lang="TH"> เป็นการฝึกทหารเกณฑ์ แบบยุโรปเพื่อใช้เป็นทหารรักษาพระองค์เท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ </span>5<span lang="TH"> ได้โปรดฯ ให้ปรับปรุงกองทัพดังนี้</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">1. <span lang="TH">ปรับปรุงหน่วยทหารในกอง ทัพใหม่ จัดแบ่งออกเป็น กรม กอง เหล่า หมวด หมู่ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมจัดอัตราเงินเดือนให้สอดคล้องกันและปรับปรุงอาวุธยุทธภัณฑ์ วิธีการฝึกตลอดจนเครื่องแบบให้ทันสมัย</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">กำเนิดสถาบันกองทัพ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">2. <span lang="TH">ตั้งโรงเรียนนายร้อยทหาร บก ตั้งกรมเสนาธิการทหารบก ตั้งโรงเรียนแผนที่ ตั้งโรงเรียนนายเรือ</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">3. <span lang="TH">ส่งนักเรียนไปศึกษา วิชาการทหารในทวีปยุโรป อาทิ </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครชัยศรีสุรเดช จบจากอังกฤษ เป็นเสนาธิการ ทหารบกคนแรกของไทย </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">พลเรือเอก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จบจากอังกฤษ เป็นนักเรียน นายเรือพระองค์แรก </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ของไทยและเป็นพระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">4. <span lang="TH">ตราพระราชบัญญัติการเกณฑ์ ทหาร ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ </span>29<span lang="TH"> สิงหาคม </span>2448<o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">5. <span lang="TH">สร้างเรือรบ อาทิ เรือพระที่นั่งจักรี เรือพาลีรั้งทวีป เรือสุครีพครองเมือง </span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';">6. <span lang="TH">สร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อป้องกันข้าศึกทางทะเล</span><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">การตำรวจ </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ขยายกิจการตำรวจนครบาล ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยภายในพระนคร </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ตั้งกรมตำรวจภูธรขึ้น เพื่อปราบปรามโจรผู้ร้ายและดูแลทุกข์สุข ของราษฎรในส่วนภูมิภาค </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ตั้งกรมตำรวจภูบาลขึ้น เพื่อช่วยเหลือตำรวจภูธร </span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';" lang="TH">ตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจภูธร ขึ้น ณ จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาย้ายมาตั้งอยู่ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จังหวัดนครปฐม<span> </span></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p></o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span><span style="font-size: 16pt; font-family: 'Angsana New';"><o:p> </o:p></span></span> </p><p style="margin: 7.2pt 0cm 14.4pt; font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);" class="MsoNormal"> </p> <p style="font-weight: bold; color: rgb(255, 255, 0);"><span style="color: rgb(51, 51, 51);font-size:130%;" ><br /></span></p>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-62851760524668133062010-06-22T07:54:00.000-07:002010-06-22T07:59:17.763-07:00<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://www.dhammajak.net/board/files/268_1207850483.jpg_217.jpg"><img style="display: block; margin: 0px auto 10px; text-align: center; cursor: pointer; width: 454px; height: 311px;" src="http://www.dhammajak.net/board/files/268_1207850483.jpg_217.jpg" alt="" border="0" /></a><br /><p style="text-align: center;"><span style="font-size:180%;"><span style="font-weight: bold; font-family: arial;">ประวัติการปกครองของไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์</span></span><b><br /></b></p><p><b><br /></b></p><p><b>กรุงรัตนโกสินทร์</b> หรือ "<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3" title="กรุงเทพมหานคร">กรุงเทพมหานคร</a>" เป็นราชธานีของไทย ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2" title="แม่น้ำเจ้าพระยา">แม่น้ำเจ้าพระยา</a> ตรงข้ามกับที่ตั้งของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5" title="กรุงธนบุรี" class="mw-redirect">กรุงธนบุรี</a> โดย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81" title="พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก" class="mw-redirect">พระบาท สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก</a> ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/6_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99" title="6 เมษายน">6 เมษายน</a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2325" title="พ.ศ. 2325">พ.ศ. 2325</a> และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาพระนครขึ้น โดยทำพิธีตั้งเสาหลักเมืองของพระนครใหม่ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ เวลาย่ำรุ่งแล้ว 45 นาที ตรงกับวันที่ <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/21_%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99" title="21 เมษายน">21 เมษายน</a> <a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2325" title="พ.ศ. 2325">พ.ศ. 2325</a></p> <p>ทั้งนี้ ได้พระราชทานนามของพระนครว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยา มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมารอวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์"แปลว่า พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร เป็นที่สถิตย์ของ<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%95" title="พระแก้วมรกต" class="mw-redirect">พระแก้วมรกต</a> เป็นพระมหานครที่ไม่มีใครรบชนะ มีความงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ไปด้วยแก้วเปราะน่ารื่นรมย์ยิ่ง พระราชนิเวศน์ใหญ่โตมากมาย เป็นวิมานของเทพผู้อวตารลงมา ซึ่ง<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A" title="ท้าวสักกเทวราช" class="mw-redirect">ท้าวสักกเทวราช</a>พระราชทาน ให้<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" title="พระวิษนุกรรม" class="mw-redirect">พระวิษนุกรรม</a>ลงมาเนรมิตไว้ เรียกสั้นๆ ว่า "กรุงเทพฯ" "กรุงเทพมหานคร" หรือ "กรุงรัตนโกสินทร์" ซึ่งคำว่ากรุงเทพในตอนต้นชื่อนั้น สันนิษฐานว่ามากจากชื่อหน้าของ อยุธยา ว่า กรุงเทพ ทราราวดีศรีอยุธยา (ในรัชสมัย<a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7" title="พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว">พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว</a> ทรงแปลงสร้อยพระนามพระนครจาก "บวรรัตนโกสินทร์" เป็น "อมรรัตนโกสินทร์")</p> <p>สภาพภูมิประเทศของกรุงรัตนโกสินทร์นั้น กรุงตั้งอยู่บริเวณแหลมยื่นลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านลงมาจากทางเหนือ ผ่านทางตะวันตกและใต้ก่อนที่จะมุ่งลงใต้สู่อ่าวไทย ทำให้กรุงดูคล้ายกับกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าให้ขุดคูพระนครตั้งแต่บางลำภูไปถึงวัดเลียบ ทำให้กรุงรัตนโกสินทร์มีสภาพเป็นเกาะสองชั้น คือส่วนที่เป็นพระบรมมหาราชวังกับส่วนระหว่างคูเมืองธนบุรี(คลองคูเมือง เดิม)กับคูพระนครใหม่ ในขณะเดียวกันได้มีการสร้างพระบรมมหาราชวังแบบง่ายๆเพื่อใช้ประกอบพระราช พิธีบรมราชาภิเษก พอประกอบพิธีแล้วจึงรื้อของเก่าออกและก่ออิฐถือปูน ส่วนกำแพงพระนครนั้น นำอิฐจากกรุงศรีอยุธยามาใช้สร้าง</p> <p>กรุงรัตนโกสินทร์ถือว่ามีชัยภูมิชั้นดีในการป้องกันศึกในสมัยนั้น คือพม่า ด้วยเนื่องจากมีแม่น้ำเจ้าพระยาขวางทางตะวันตก นอกจากนี้กรุงธนบุรีเดิมก็สามารถดัดแปลงเป็นค่ายรับศึกได้ แต่เหตุการณ์ที่พม่าเข้าเหยียบชานพระนครก็ไม่เคยเกิดขึ้นสักครั้ง เป็นที่สังเกตว่า การสร้างกรุงรัตนโกสินทร์นั้นเป็นการลงหลักปักฐานของคนไทยอย่างเป็นทางการ หลังกรุงแตก เพราะมีการสร้างปราสาทราชมณเฑียรอย่างงดงามต่างจากสมัยธนบุรี ทั้งๆที่ขณะนั้นเกิดสงครามกับพม่าครั้งใหญ่</p> <p>กรุงรัตนโกสินทร์แล้วเสร็จจริงๆในปี พ.ศ. 2327 มีการสมโภชพระนครครั้งใหญ่ มีการลอกองค์ประกอบของกรุงศรีอยุธยามามากมาย เช่นวัดสุทัศน์แทนวัดพนัญเชิญ มีพระบรมมหาราชวังอยู่ริมน้ำ เป็นต้น แต่กรุงรัตนโกสินทร์ถูกสร้างต่อมาจนสมบูรณ์หมดจริงๆ ในช่วงรัชกาลที่ 3 และรัชกาลต่อมาจึงขยายพระนคร</p> <p>การขยายพระนครนั้นเริ่มในสมัยรัชกาลที่4 เมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมขึ้น พร้อมสร้างป้อมแต่ไม่มีกำแพง นอกจากนี้ยังมีการตัดถนนเจริญกรุงและพระรามสี่หรือสมัยนั้นเรียกถนนตรง ทำให้ความเจริญออกไปพร้อมกับถนน สรุปได้ว่าในรัชกาลที่ 4 เมืองได้ขยายออกไปทางตะวันออก ในรัชกาลที่ 5 ความเจริญได้ตามถนนราชดำเนินไปทางเหนือพร้อมกับการสร้างพระราชวังดุสิตขึ้น กำแพงเมืองต่างๆเริ่มถูกรื้อเนื่องจากความเจริญและศึกต่างๆเริ่มไม่มีแล้ว</p> <p>หลังจาก ร.ศ.112 ที่ฝรั่งเศสยกเรือรบมาถึงบางรัก ก็เป็นแค่ไม่กี่ครั้งที่ข้าศึกต่างชาติเข้าถึงชานพระนครได้ ความเจริญได้ตามไปพร้อมกับวังเจ้านายต่างๆนอกพระนคร ทุ่งต่างๆกลายเป็นเมือง และในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เกิดสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรก เป็นสะพานข้ามทางรถไฟชื่อสะพานพระรามหก จนถึงรัชกาลที่ 7 ฝั่งกรุงธนบุรีกับพระนครได้ถูกเชื่อมโดยสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ (สะพานพุทธ)ทำให้ประชาชนเกิดความสะดวกขึ้นมามาก หลังจากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองในรัชกาลที่ 8 พระนครถูกโจมตีทางอากาศจากฝ่ายสัมพันธมิตรบ่อยครั้ง แต่พระบรมมหาราชวังปลอดภัยเนื่องจากทางเสรีไทยได้ระบุพิกัดพระบรมมหาราชวัง มิให้มีการยิงระเบิด เมื่อสิ้นสงครามแล้วพระนครเริ่มพัฒนาแบบไม่หยุด เกิดการรวมจังหวัดต่างๆเข้าเป็นกรุงเทพมหานคร และได้เป็นเขตปกครองพิเศษหนึ่งในสองแห่งของประเทศไทย</p><img src="file:///C:/WINDOWS/TEMP/moz-screenshot-3.png" alt="" /><img src="file:///C:/WINDOWS/TEMP/moz-screenshot-4.png" alt="" />ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-15407010374167025922010-06-09T07:12:00.000-07:002010-06-09T07:20:58.003-07:00<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEircygsHKUsR7tcQ5SgWbp-VWaIgGHU6Zm27gnw5L_yxB9szadA_uHy-NDRmp9QfiTgXbm8PecBQn-qb0hyyATFPa64VIxDHdlb0vRTG95dMBcYzPECmAGtCSbNnyIQ_dSmL1giUNa6Khci/s1600/à¸à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5480777659342966690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 326px; CURSOR: hand; HEIGHT: 243px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEircygsHKUsR7tcQ5SgWbp-VWaIgGHU6Zm27gnw5L_yxB9szadA_uHy-NDRmp9QfiTgXbm8PecBQn-qb0hyyATFPa64VIxDHdlb0vRTG95dMBcYzPECmAGtCSbNnyIQ_dSmL1giUNa6Khci/s400/%E0%B8%81%E0%B8%94.jpg" border="0" /></a><br /><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span><br /><br /><strong><span style="font-family:arial;"></span></strong><br /><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong>ประวัติศาสตร์สมัยกรุงธนบุรี</strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span><br /><div align="center"> <span style="font-size:130%;"> </span><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"> การปกครองสมัยกรุงธนบุรียึดถือตามแบบอย่างอยุธยา สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คือ<br />แบ่งส่วนราชการออกเป็น<br /> 1. การปกครองส่วนกลาง ประกอบด้วยอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง ได้แก่<br /> - สมุหนายก เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายพลเรือน และดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ<br /> - สมุหพระกลาโหม เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหาร และดูแลหัวเมืองฝ่ายใต้<br /> การบริหารราชการแบ่งออกเป็น 4 กรม เรียกว่า จตุสดมภ์ ประกอบด้วย<br /> - กรมเวียง (นครบาล) มีหน้าที่ปกครองท้องที่ รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง<br /> - กรมวัง (ธรรมาธิกรณ์) มีหน้าที่เกี่ยวกับราชสำนัก และช่วยพระมหากษัตริย์พิจารณาคดีความของ<br />ราษฎร จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ธรรมาธิกรณ์<br /> - กรมคลัง (โกษาธิบดี) มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินของแผ่นดิน และเก็บรักษาพระราชทรัพย์ที่ได้มาจาก<br />ส่วย อากร และบังคับบัญชากรมท่า ซี่งเกี่ยวข้องกับการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ<br /> - กรมนา (เกษตราธิการ) มีหน้าที่ดูแลนาหลวง เก็บภาษี (หางข้าว)<br /> 2. การปกครองส่วนภูมิภาค แบ่งหัวเมืองออกเป็น<br /> 2.1 หัวเมืองชั้นใน (เมืองจัตวา) ได้แก่เมืองที่อยู่ใกล้ราชธานี เป็นเมืองเล็กๆมีขุนนางชั้นผู้น้อยเป็น<br />ผู้ปกครองเมือง แต่เรียกว่า จ่าเมือง เช่นเมืองพระประแดง เมืองนนทบุรี เมืองสามโคก<br /> 2.2 หัวเมืองชั้นนอก ได้แก่เมืองซึ่งอยู่นอกราชธานีออกไป แบ่งตามขนาดและความสำคัญของเมือง<br />กำหนดฐานะเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี จัตวา โดยรูปแบบการบริหารราชการเหมือนสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ฐานะของ<br />เมืองอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม<br /> 2.3 หัวเมืองประเทศราช เป็นเมืองซึ่งทางกรุงธนบุรีจะเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าเมือง ให้อิสระในการปกครอง แต่<br />ต้องปฏิบัติตามนโยบายของเมืองหลวง และต้องส่งต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง รวมทั้งเครื่องราชบรรณาการตามที<br />เมืองหลวงกำหนด เมืองประเทศราชสมัยกรุงธนบุรีได้แก่ เชียงใหม่ หลวงพระบาง เวียงจันทร์ จำปาศักดิ์<br />นครศรีธรรมราช ปัตตานี และเขมร<br /> เศรษฐกิจสมัยกรุงธนบุรี<br /> การเสียกรุงครั้งที่ 2 ก่อให้เกิดความเสียหายย่อยยับแก่เศรษฐกิจไทย นอกเหนือจากชาวไทยต้อง<br />บาดเจ็บล้มตายในสงครามกับพม่าหลายหมื่นคนแล้ว ผู้รอดชีวิตจำนวนมากต้องอพยพหนีตายในสภาพอดอยาก<br />ยากแค้น บางส่วนอพยพหนีเข้าป่า บางส่วนซัดเซพเนจรหาที่พักพิงใหม่ เมื่ออดอยากหนักเข้าจึงใช้วิธีปล้นสะดม<br />ฆ่าฟันกันเพื่อความอยู่รอด บ้างก็ล้มตายเพราะขาดอาหาร หรือไม่ก็ตายเพราะโรคระบาด พลเมืองบางส่วน<br />ก็หนีไปพึ่งพระบารมีพระเจ้ากรุงธนบุรี<br /> หลังจากที่พระเจ้าตากสินได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้วได้ดำเนินวิธีการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจ<br />ดังนี้<br /> 1. ทรงสละพระราชทรัพย์ซื้อข้าวสารจากต่างชาติที่นำมาขาย แล้วนำไปแจกจ่ายให้กับราษฎรเพื่อแก้<br />ปัญหาเฉพาะหน้า<br /> 2. ทรงเร่งรัดการทำนา เพื่อให้มีข้าวบริโภคเพียงพอ โดยการสนับสนุนให้ข้าราชการทำนาปรัง<br /> 3. ทรงส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ เพื่อนำรายได้มาใช้เกี่ยวกับการทำสงครามและบูรณปฏิสังขรณ์<br />วัดวาอาราม รายได้เกี่ยวกับการค้ากับต่างประเทศ ได้แก่ การเก็บภาษีเบิกร่องหรือค่าปากเรือ ภาษีขาเข้า - ภาษี<br />ขาออก<br /> 4. ทรงดำเนินนโยบายประหยัด โดยการใช้ของที่เป็นเครื่องอุปโภค บริโภค ให้คุ้มค่ามากที่สุด<br /> แม้ว่าพระเจ้าตากสินจะพยายามแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แก้ไขปัญหาความอดอยากของ<br />ประชาชน แต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จนัก เป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้<br /> 1.มีสงครามตลอดรัชกาล ทำให้ราษฎรไม่มีเวลาทำมาหากิน<br /> 2.เกิดภัยธรรมชาติ เช่น พ.ศ.2311 – พ.ศ.2312 ฝนแล้งติดต่อกัน ทำนาไม่ได้ผล ที่พอทำได้บ้างก็ถูก<br />หนูกัดกินข้าวในนาและยุ้งฉาง รวมทั้งทรัพย์สินสิ่งของทั้งปวงเสียหาย จึงมีรับสั่งให้ราษฎรดักหนูนามาส่ง<br />กรมพระนครบาล ทำให้เหตุการณ์สงบลงไปได้<br /> 3.ผู้คนแยกย้ายกระจัดกระจายกัน ยังไม่มารวมกันเป็นปึกแผ่น<br /> 4.พ่อค้าชาติต่างๆยังไม่กล้ามาลงทุน เพราะสภาพการณ์บ้านเมืองไม่น่าวางใจนัก อีกประการหนึ่งเกรง<br />จะถูกยึดทรัพย์สินเป็นของหลวง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่ค่อยได้ผลนัก ทั้งนี้เพราะต้องทำควบคู่ไปกับการทำ<br />สงครามด้วย แม้กระนั้นพระเจ้าตากสินก็พยายามส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ โดยส่งเสริมการต่อเรือ<br />พาณิชย์ อันเป็นผลให้มีหนทางเก็บภาษีเข้าท้องพระคลัง เรือค้าขายจากเมืองจีนมาติดต่อบ่อยครั้ง ใน พ.ศ.2324<br />คณะทูตจากกรุงธนบุรีเดินทางไปเมืองกวางตุ้ง นำพระราชสาสน์ไปเจริญทางพระราชไมตรีและได้เจรจาเรื่อง<br />การค้าด้วย<br /> การปรับปรุงฟื้นฟูประเทศด้านการศึกษาและศาสนาสมัยกรุงธนบุรี<br /> การศึกษาสมัยกรุงธนบุรีมีศูนย์กลางอยู่ที่วัดกับวัง โดยวัดจะเป็นสถานศึกษาสำหรับราษฎรทั่วไป ซึ่ง<br />ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้ชายเพราะต้องไปศึกษาและพักอยู่กับพระที่วัด วิชาที่เรียนได้แก่ การอ่าน เขียนภาษาไทย<br />ภาษาบาลี - สันสกฤต และวิชาเลข ซึ่งสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนวังเป็นสถานศึกษาสำหรับบุตรของ<br />พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่ วิชาที่เรียนส่วนใหญ่เน้นเรื่องการปกครอง วิชาการป้องกันตัว เพื่อ<br />เตรียมรับราชการต่อไปในอนาคต ส่วนวิชาชีพนั้นจะเป็นการศึกษากับพ่อแม่ คือ พ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร ก็มัก<br />จะถ่ายทอดให้ลูกหลานทำต่อ เช่นวิชาแพทย์แผนโบราณ หรือวิชาช่างต่างๆ ส่วนเด็กผู้หญิงจะเรียนเพื่อเตรียมตัว<br />เป็นแม่บ้านแม่เรือนในอนาคต ดังนั้นการเรียนของเด็กผู้หญิงจะเรียนอยู่กับบ้าน มีแม่เป็นผู้สอน วิชาที่เรียน เช่น<br />การเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว การฝึกอบรมมารยาทของสตรี โดยพ่อแม่ไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ การปรับปรุงฟื้นฟูประเทศด้านศาสนาสมัยกรุงธนบุรี พระพุทธศาสนาตกต่ำมากในช่วงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อพระเจ้าตากสินขึ้นครองราชย์<br />พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาอย่างแน่วแน่ พระราชภารกิจทางด้านศาสนา ได้แก่<br /> 1. นิมนต์พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ตามที่ต่างๆให้มาประชุมกันที่วัดบางหว้าใหญ่ (วัดระฆังโฆษิตาราม) แต่งตั้ง<br />เจ้าอาวาสวัดประดู่ขึ้นเป็นพระสังฆราช และตั้งพระราชาคณะให้ปกครองพระอารามต่างๆในเขตกรุงธนบุรี<br /> 2. ในคราวเสด็จไปปราบชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช พระองค์เสด็จบำเพ็ญพระราชกุศลที่พระอาราม<br />วัดพระศรีมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช และให้เชิญพระไตรปิฎกขึ้นมายังกรุงธนบุรี เพื่อคัดลอกจารไว้ทุกหมวด<br />แล้วเชิญกลับไปนครศรีธรรมราชตามเดิม<br /> 3. เมื่อเสด็จหัวเมืองเหนือ พระเจ้าตากสินก็ทรงแต่งตั้งพระราชาคณะตามหัวเมืองต่างๆ และโปรดให้<br />รวบรวมพระไตรปิฎกทางหัวเมืองเหนือมาสอบชำระที่กรุงธนบุรี แล้วให้ส่งกลับไปใช้เป็นฉบับหลวง<br /> 4 .ทรงอุปถัมภ์พระภิกษุ สามเณร ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทางศาสนาเป็นประจำ<br /> 5. ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง เช่น วัดบางยี่เรือใต้ (วัดอินทาราม)อันเป็นพระอารามหลวง และ<br />ประดิษฐานพระอัฐิสมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตย์ นอกจากนี้เมื่อครั้งสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก<br />เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเวียงจันทร์ใน พ.ศ.2321 ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ในกรุงธนบุรีด้วย<br /> สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี<br /> สภาพสังคมไทยสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะคล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น<br /> 1. พระมหากษัตริย์ เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม<br /> 2. พระบรมวงศานุวงศ์<br /> 3. ขุนนางข้าราชการ<br /> 4. ไพร่ เป็นชนชั้นที่มีมากที่สุดในสังคม<br /> 5. ทาส เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายเงินมาก<br /> สังคมไทยสมัยกรุงธนบุรีถูกควบคุมอย่างเข้มงวดมาก ด้วยเป็นเวลาที่บ้านเมืองอยู่ในระหว่างอันตราย<br />เพิ่งกอบกู้เอกราชคืนมาได้ ทั้งประสบความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ผู้คนหลบหนีเข้าป่าอย่างมากมาย ถูก<br />กวาดต้อนไปพม่าก็มีมาก นอกนั้นต่างก็พยายามเอาตัวรอดโดยการตั้งเป็นก๊ก เป็นเหล่า ครั้นกู้กรุงศรีอยุธยา<br />กลับคืนมาได้ก็ยังต้องระมัดระวังภัยจากพม่าที่จะมาโจมตีอีก การควบคุมกำลังคนจึงมีความสำคัญมาก เพราะถ้ามี<br />ผู้คนน้อย ก็จะทำให้พ่ายแพ้แก่ข้าศึกศัตรูได้ ผู้คนในกรุงธนบุรีถูกควบคุมโดยการสักเลก ผู้ที่ถูกสักเลกทั้งหลาย<br />เรียกกันว่าไพร่หลวง ซึ่งมีหน้าที่รับราชการปีละ 6 เดือน โดยมาทำราชการหนึ่งเดือน และหยุดพักผ่อนไปทำมา<br />หากินหนึ่งเดือนสลับกันไป ซึ่งสมัยก่อนเรียกว่าเข้าเดือนออกเดือน มีไพร่หลวงอีกพวกหนึ่งเรียกว่าไพร่ส่วย คือ<br />เป็นไพร่ที่ส่งส่วยเป็นสิ่งของหรือเงินแทนการรับใช้แรงงานแก่ทางราชการ ส่วนไพร่สมเป็นไพร่ที่สังกัดมูลนาย<br />รับใช้แต่เจ้านายของตนเอง เพราะพวกนี้ถูกแยกเป็นอีกพวกหนึ่งเด็ดขาดไปเลย แต่บางครั้งไพร่สมก็ถูกแปลงมา<br />เป็นไพร่หลวงได้เหมือนกัน การสักเลกก็เพื่อเป็นการลงทะเบียนชายฉกรรจ์เป็นไพร่หลวงเพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยง<br />และหลบหนี<br /> ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ<br /> ความสัมพันธ์กับต่างประเทศในสมัยกรุงธนบุรีมีลักษณะสำคัญ 2 ประการ คือการป้องกันประเทศจาก<br />การรุกรานของต่างชาติ และการขยายอำนาจไปยังอาณาจักรข้างเคียง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแก่บ้านเมือง<br />ประเทศที่มี ความสัมพันธ์กับไทยสมัยกรุงธนบุรี คือ พม่า ลาว เขมร และจีน<br /> 1. ความสัมพันธ์กับประเทศพม่า เป็นไปในลักษณะของความขัดแย้งตลอดรัชกาล เริ่มจากการรบ<br />ครั้งแรกที่ค่ายโพธิ์สามต้น ซึ่งไทยเป็นฝ่ายชนะ สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงกอบกู้เอกราชได้สำเร็จแล้วก็ตาม แต่<br />พม่าก็ยังไม่หยุดยั้งที่จะทำลายอาณาจักรไทยที่ตั้งขึ้นใหม่ ในสมัยกรุงธนบุรีมีการทำสงครามกับพม่า 10 ครั้ง<br />ผลัดกันแพ้ชนะ สงครามครั้งสำคัญที่สุด ได้แก่ ศึกอะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.2318 ไม่มีฝ่ายใดชนะ<br />โดยเด็ดขาด<br /> 2. ความสัมพันธ์กับประเทศลาว ในสมัยกรุงธนบุรีมีการทำสงครามกับลาว2 ครั้ง คือศึกจำปาศักดิ์<br />ปี พ.ศ.2319 และศึกเวียงจันทร์ปี พ.ศ.2321 ผลของสงครามทั้ง 2 ครั้ง ไทยเป็นฝ่ายชนะ ได้ลาวเป็นประเทศราช<br />และในคราวศึกเวียงจันทร์ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกแม่ทัพไทย ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร<br />(พระแก้วมรกต) และพระบาง จากเวียงจันทร์มากรุงธนบุรีด้วย<br /> 3. ความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา เขมรเคยเป็นประเทศราชของไทยมาแต่สมัยอยุธยา หลังจาก<br />กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในปี พ.ศ.2310แล้วพระเจ้าตากสินกู้เอกราชได้สำเร็จ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์<br />เขมรไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายอ้างว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไม่ใช่เชื้อพระวงศ์พระเจ้า<br />แผ่นดินกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้พระยาอภัยรณฤทธิ์ (ทองด้วง) และพระยาอนุชิต<br />ราชา (บุญมา) นำทัพไปตีเขมรใน พ.ศ.2312 แต่ไม่สำเร็จเพราะเขมรแกล้งปล่อยข่าวว่าสมเด็จพระเจ้า<br />ตากสินมหาราชเสด็จสวรรคต พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชาจึงยกทัพกลับ ต่อมาปี พ.ศ.2314<br />โปรดให้พระยาจักรียกทัพไปตีเขมรอีก และได้เขมรกลับมาเป็นประเทศราชของไทย<br /> 4.ความสัมพันธ์กับประเทศจีน สมัยกรุงธนบุรีเป็นความพยายามของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จะ<br />ให้จีนยอมรับฐานะของพระองค์ และเพื่อให้ไทยได้เปิดค้าขายกับจีน เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจและทำให้ฐานะของ<br />สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมั่นคงขึ้นด้วย เหตุการณ์ปลายรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br /> ในช่วงปลายรัชกาล สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงมีพระอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทรง<br />หมกมุ่นในการนั่งวิปัสนากรรมฐาน จนเข้าพระทัยว่าทรงบรรลุโสดาบันแล้ว ทรงบังคับให้พระสงฆ์มากราบไหว้<br />พระองค์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ทรงลงโทษอย่างหนัก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนเกิดจราจลขึ้น พระยาสรรค์ก่อ<br />การกบฏตั้งตนเป็นใหญ่ บังคับให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชผนวช สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกทราบข่าว<br />จึงยกทัพกลับจากการไปตีเขมร และได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์เมื่อ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325<br />ทรงพระนามว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก </span></div></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-22244296566982658702010-05-27T06:06:00.000-07:002010-05-27T06:09:42.837-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6IJgnmqhBQOWTwaC9RwIVhNcgcm5R_fcF6XdMwpMp52MeXZD_xixU_sd6mT1lNDAIbRF1e-vxJnO5trXFxujTAvml0ZNvmNQJuveRLN8DvhedebqWQWhumKIuhd0oq0OJynfyjHkUBozx/s1600/ptoooooo111fp6.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 311px; DISPLAY: block; HEIGHT: 400px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475936299376311570" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh6IJgnmqhBQOWTwaC9RwIVhNcgcm5R_fcF6XdMwpMp52MeXZD_xixU_sd6mT1lNDAIbRF1e-vxJnO5trXFxujTAvml0ZNvmNQJuveRLN8DvhedebqWQWhumKIuhd0oq0OJynfyjHkUBozx/s400/ptoooooo111fp6.jpg" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0HFFZjJi7WdWY76YrNra226QK-pFvORohKxzj9VcpEjwd-gF60YCLTl5-OCQOu7TQvzGi998Jipv8Wf7oZ_RYUwFEoZo3lGjM_gASk-pxpKm2x9h_yGyB4Tbw-JgX83IjwaTcsF-zbhy7/s1600/83096105ja8.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; DISPLAY: block; HEIGHT: 300px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475936200228944210" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0HFFZjJi7WdWY76YrNra226QK-pFvORohKxzj9VcpEjwd-gF60YCLTl5-OCQOu7TQvzGi998Jipv8Wf7oZ_RYUwFEoZo3lGjM_gASk-pxpKm2x9h_yGyB4Tbw-JgX83IjwaTcsF-zbhy7/s400/83096105ja8.jpg" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKpK1UG6gny82v1ZLiDD3NIMzB6zZEn2mv97EMzvboCIEZY6DJDwS1h1jTAlHeLaARe-X73UgrHKC_-1Rq0zvS6PhZLOVMgadtmYZujEl39oXBcasc7EnADJYegI4y-K8ri51gQlGviYN4/s1600/7882294hm2gk2.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; DISPLAY: block; HEIGHT: 300px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475936118147662082" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKpK1UG6gny82v1ZLiDD3NIMzB6zZEn2mv97EMzvboCIEZY6DJDwS1h1jTAlHeLaARe-X73UgrHKC_-1Rq0zvS6PhZLOVMgadtmYZujEl39oXBcasc7EnADJYegI4y-K8ri51gQlGviYN4/s400/7882294hm2gk2.jpg" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQn4BIAyvH4Zq2mmMgv2c59oaT-29tbcgvSJCqvsRzx4HVqHMaNPn2XHXysmbt9Ci7wyUWB6-UQV9pi6m7qjArlSv3aaO8WNN6lJOB_MNZXSo5b_MW5LDQD1TA03ZjAkbYZCiRKFOiLvqt/s1600/7882291kj9qf1.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 400px; DISPLAY: block; HEIGHT: 300px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475936013524911666" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjQn4BIAyvH4Zq2mmMgv2c59oaT-29tbcgvSJCqvsRzx4HVqHMaNPn2XHXysmbt9Ci7wyUWB6-UQV9pi6m7qjArlSv3aaO8WNN6lJOB_MNZXSo5b_MW5LDQD1TA03ZjAkbYZCiRKFOiLvqt/s400/7882291kj9qf1.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6o0OYsJgBxxlXM2i0PrpuW30-Ro0OI0IH4a4fqmxmVZyU2HvqVxUvE-oYfKqAR9ukTHbkAvFDU9i6Qym7FiCh8GelI09y9Fp8tVNbBg8SvMdky57SSzqO1d1WyVaELO8T6xPc582RSZ5B/s1600/1452fh7.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 400px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935809659087970" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6o0OYsJgBxxlXM2i0PrpuW30-Ro0OI0IH4a4fqmxmVZyU2HvqVxUvE-oYfKqAR9ukTHbkAvFDU9i6Qym7FiCh8GelI09y9Fp8tVNbBg8SvMdky57SSzqO1d1WyVaELO8T6xPc582RSZ5B/s400/1452fh7.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkOJ0JWN9Zn5ydHug81e5bTDvolrN3ci63I9jk0ZnxJ31-Bfi2MJ4HTeJAj2HM6uhFY_kKlA5Xt74hGchjQj2ZKAz6AIIVzXv6987ZHLRJ3b3NgWSf2INJdLKdIWPUU7bP9Exvlu0kmWX_/s1600/145zq1.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 274px; DISPLAY: block; HEIGHT: 400px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935739484225634" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkOJ0JWN9Zn5ydHug81e5bTDvolrN3ci63I9jk0ZnxJ31-Bfi2MJ4HTeJAj2HM6uhFY_kKlA5Xt74hGchjQj2ZKAz6AIIVzXv6987ZHLRJ3b3NgWSf2INJdLKdIWPUU7bP9Exvlu0kmWX_/s400/145zq1.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2wcvbWfX672lQAlfmgIcKhrNvzYObmJEkLCON7MstfHByLebmJ9a3QoN1u4RbNJBXiI02mcJzv8qz65UW94KndwKaghkRsdm6RYE9iZwpz_ygY0b04pU5PK-GOX9YfsVVwAokkwOe4H7e/s1600/33av7.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 357px; DISPLAY: block; HEIGHT: 400px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935694904009538" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2wcvbWfX672lQAlfmgIcKhrNvzYObmJEkLCON7MstfHByLebmJ9a3QoN1u4RbNJBXiI02mcJzv8qz65UW94KndwKaghkRsdm6RYE9iZwpz_ygY0b04pU5PK-GOX9YfsVVwAokkwOe4H7e/s400/33av7.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1nd55Quaj4sr1dtG-3L7zbj_HKubp7BZcJ3V2v2wxxtcQxwRSc9w0UmV8JNeVbdCxUml7-lDNg3gTn14lzHxz_LZyNN3kDccI_kru-kaOv5G-yw_WF4mS08RIpEo6Ge9kqmZrLilnp-rq/s1600/31kh1.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 374px; DISPLAY: block; HEIGHT: 400px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935636745526690" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1nd55Quaj4sr1dtG-3L7zbj_HKubp7BZcJ3V2v2wxxtcQxwRSc9w0UmV8JNeVbdCxUml7-lDNg3gTn14lzHxz_LZyNN3kDccI_kru-kaOv5G-yw_WF4mS08RIpEo6Ge9kqmZrLilnp-rq/s400/31kh1.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div></div></div></div></div></div></div></div></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-27602250943739311002010-05-27T06:04:00.002-07:002010-05-27T06:06:00.811-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJa3tSBbYsEIUrkWMxTi_oWZDgXykVx_7ypYc0Nh8H6cvt9HzOybUCtDgHiKARvLvOz5e2IxrnJy8k12rThAira8sFGq59A3ghwVQZ0-L5jotXDOUv9sWElY22QhuV4h74nVXqA_4p19KL/s1600/mingz3.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 170px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935357623475778" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJa3tSBbYsEIUrkWMxTi_oWZDgXykVx_7ypYc0Nh8H6cvt9HzOybUCtDgHiKARvLvOz5e2IxrnJy8k12rThAira8sFGq59A3ghwVQZ0-L5jotXDOUv9sWElY22QhuV4h74nVXqA_4p19KL/s400/mingz3.jpg" /></a><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCT1lT-OuJm5GClu81RGaQK783QXwwxwEY0GPBDXUEYW6lxwFUf2L0MvVAC1zv9OoadcmMLdImL0x7-mlieJ8jsQXVfVqEWqxMuvoNAzgcZmoYQUnY3R3rN90t6_Yhcvg66RK76n55WeO7/s1600/mingz3.jpg">>>> มือกลอง Choi Min Hwan (น้องเล็ก) ♥ วันเกิด: 11 พฤศจิกา 1992 วันเปเปโร่ (ขนมป๊อกกี้เกาหลี) เวลากินเปเปโร่ กรุณาคิดถึงผมด้วยนะครับ~ อิๆ ♥ อายุ: 16 ผมอยากเข้าม.ปลายแล้ว~ ♥ กรุ๊ปเลือด: A ผู้เอาแต่ใจ ♥ ส่วนสูง: 171 ซม. ♥ น้ำหนัก: 55 กิโลกรัม ♥ โรงเรียน: ปีสาม YangHwa Junior High School (ม.3) ♥ งานอดิเรก: แต่งเพลง ♥ ครอบครัว: พ่อแม่, ลูกพี่ลูกน้องที่อ่อนกว่า, MinHwan ♥ ความสามารถพิเศษ: กลอง, กินไก่! ♥ ชื่อเล่น: SahOhJung ♥ ข้อดี: น่ารัก ♥ ตำแหน่งในวง: มือกลอง - กระดูกสันหลังของ F.T Island! ♥ สิ่งที่ชอบ: ไก่!!! ผมอยากถ่ายโฆษณาไก่ในเร็ววันจังเลย~ อิๆ ♥คติ: ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับผม!? ♥ถึงคนรักในอนาคต: แผนสาวที่น่ารักของผมครับ กรุณาดูแลสุขภาพด้วยนะ ผมรักคุณ! (น้องคนนี้ก็จะกินไก่อย่างเดียวเลย ระวังไข้หวัดนกนะน้องนะ~) </a><br /><br /><div></div></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-41147432799777798702010-05-27T06:04:00.001-07:002010-05-27T06:04:48.135-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRa7RZiCN0CkMh-Y8sqNTPMrTGREVYBsAfghSIaPJHxpXr2Vhk9WmTYYKdqlk6A-zx7RjUP5CrzJo-l22bZ9zYCYGlZvz9jLPRvg0HLe5ni-pyC8DfyHxwjQ0OuBjiWE-08rL5euTNn8jG/s1600/jaelv4.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 170px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475935012500836674" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRa7RZiCN0CkMh-Y8sqNTPMrTGREVYBsAfghSIaPJHxpXr2Vhk9WmTYYKdqlk6A-zx7RjUP5CrzJo-l22bZ9zYCYGlZvz9jLPRvg0HLe5ni-pyC8DfyHxwjQ0OuBjiWE-08rL5euTNn8jG/s400/jaelv4.jpg" /></a><br /><div>>>> มือเบส Lee Jae Jin ♥ วันเกิด: 17 ธันวา 1991 ♥ กรุ๊ปเลือด: A ♥ ส่วนสูง: 177 ซม. ♥ น้ำหนัก: 58 กิโลกรัม ♥ โรงเรียน: ปีหนึ่ง SunYoo High School (ม.4) ♥ งานอดิเรก: เซิร์ฟเนต, ถามคำถามอาจารย์สอนดนตรี & อาบแดด ♥ ครอบครัว: พ่อแม่, พี่สาว, JaeJin ♥ ความสามารถพิเศษ: เบส, ฟังเพลง (ฟังเพลงมันเป็นความสามารถพิเศษตรงไหนคะน้อง -*-?) ♥ ชื่อเล่น: JahJinnie ♥ ข้อดี: ริมฝีปาก ♥ ตำแหน่งในวง: มือเบส ♥ สิ่งที่ชอบ: เงิน...อาหาร....ดนตรี? อิๆๆ~ ♥ คติ: ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด! ♥ ถึงคนรักในอนาคต: Saranghae~ </div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-79263433293926074782010-05-27T06:02:00.000-07:002010-05-27T06:03:57.156-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0QJcVf_aZ3bcsBrUINikpTK721jDji3MscXO8G_hjkuKpD8hYLQq3Fllniv_4uQhVZq-SVNX2SB5YOimBv4cSC-BDEoqp_UUi6jzuRlhuVcpyKr6s0SD-KMFwdRcB9SjUv5p7PcAG55ZU/s1600/236ne9.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 170px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475934790885597554" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0QJcVf_aZ3bcsBrUINikpTK721jDji3MscXO8G_hjkuKpD8hYLQq3Fllniv_4uQhVZq-SVNX2SB5YOimBv4cSC-BDEoqp_UUi6jzuRlhuVcpyKr6s0SD-KMFwdRcB9SjUv5p7PcAG55ZU/s400/236ne9.jpg" /></a><br /><div>>>> ร้องเสริม และมื่อเบส Oh Won Bin ♥ วันเกิด: 26 มีนา 1990 ♥ กรุ๊ปเลือด: O ♥ ส่วนสูง: 180 ซม. ♥ น้ำหนัก: 63 กิโลกรัม ♥ โรงเรียน: ปีสอง SungJiGo School (ม.5) ♥ งานอดิเรก: กีฬาทุกชนิด, แต่งเพลง ♥ ครอบครัว: พ่อแม่, WonBin ♥ ความสามารถพิเศษ: martial arts (ภาษาไทยเรียกอะไรแล้วอ่ะ พวกกีฬาต่อสู้อ่ะ ประมาณเทควันโด) ♥ ชื่อเล่น: ... (ประมาณวอนบินเอ๋อ) ♥ ข้อดี: ตายิ้ม ♥ ตำแหน่งในวง: แร๊พ, ร้องตำแหน่งที่สอง, กีต้าร์ที่สอง! ผมมีพรสวรรค์มากเลยเนอะ ^o^;; ขอโทษครับ! ♥ สิ่งที่ชอบ: เล่นเกมส์, นอน & กิน ~ ชอบหมดเลย ^^ ♥ คติ: ไม่มี แต่ผมจะคิดดูนะ!! ♥ ถึงคนรักในอนาคต: เมื่อไหร่คุณจะมาปรากฎตัวตรงหน้าผมซะที? ผมเหงาเหลือเกิน~~ (แอบขำชื่อน้องเล็กๆ ชื่อเหมือนเฮียวอนบินที่ไปเกณฑ์ทหารเพิ่งปลดประจำการ รึเปล่า? อ่านภาษาอังกฤษแล้วเป็น โอ้! วอนบิน!!) </div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-34284412876195848042010-05-27T06:01:00.000-07:002010-05-27T06:02:34.809-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi01eU08vZ7c5qh83OMArRA7IcwXO4dFP08gyPYU5s4iZmlA3NLo3TgvzhuXAKrjaz2Qbjm4bHTtFUNLSBv2pRj70Cz5R0N91qKpmo1pHiHVdvH6tyKwjNIrsQUjmeVohbNrBeOitGqZ-sf/s1600/hongoy1.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 170px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475934337196557010" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi01eU08vZ7c5qh83OMArRA7IcwXO4dFP08gyPYU5s4iZmlA3NLo3TgvzhuXAKrjaz2Qbjm4bHTtFUNLSBv2pRj70Cz5R0N91qKpmo1pHiHVdvH6tyKwjNIrsQUjmeVohbNrBeOitGqZ-sf/s400/hongoy1.jpg" /></a><br /><div>>>> นักร้องนำ Lee Hong Ki ♥ วันเกิด: 2 มีนา 1990, 6 กุมภา (ปฏิทินจันทรคติ <<< เค้าเรียกแบบนี้รึเปล่า?) ♥ กรุ๊ปเลือด: AB กรุณาอย่าเรียกผมว่า "โรคจิต!" ผมไม่ใช่แบบนั้นนะ! ♥ ส่วนสูง:176 ซม. ♥ น้ำหนัก: 60 กิโลกรัม ♥ โรงเรียน: ปีสอง SungJiGo School (ม.5) ♥ งานอดิเรก: ร้องเพลง, ฟังเพลง, ฟุตบอล, เกมส์ (บอร์ด&อินเตอร์เนต), ทำอาหาร ♥ ครอบครัว: พ่อแม่, น้องสาว, HongKi ♥ ความสามารถพิเศษ: ร้องเพลง, ฟุตบอล ♥ ชื่อเล่น:..... (ภาษาเกาหลี...อะไรไม่รู้ แต่แปลว่า เด็กดื้อผู้น่ารัก) ♥ ข้อดี: ตายิ้ม ♥ ตำแหน่งในวง:ร้องนำ..อืม...ผมเป็นนักสร้างออร่าด้วย ♥ สิ่งที่ชอบ: นอกจากเครื่องเทศผมชอบหมดเลย!!! อะไรก็ได้!! & ผมชอบของที่ทำให้ใจเต้นแรงด้วย (แล้วอะไรล่ะที่ทำให้ใจเต้นแรงน่ะ อีน้อง?) ♥ คติ: มีด้วยเหรอ? ♥ ถึงคนรักในอนาคต: พยายามให้ดีที่สุด! ถ้าผมทำไม่ดี ช่วยเข้าใจและให้อภัยผมด้วย (เค้านินทาว่า HongKi เป็นเครื่องตดด้วย ฮา~) </div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-4861715522303806562010-05-27T05:40:00.000-07:002010-05-27T06:01:20.918-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3VviyhyphenhyphenUWWcMmH-7w69SO2Jv1Z1Qaq0uu607lVZPKg8FmsyBYIdfFAVgRa66g9NlHmqdT_4WkNW4nOYvyiEUZhRAV3wUmGAGfFccGTJcGkZDByLGQ061-Bh3_4UaH-6oLJbP3dKrW_fka/s1600/hongoy1.jpg"></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjj7uZPxNFnhDq8wdZmLDABAPX4AlOLO8hlk8b2t8QflL6mGIFjSCxT98CTvg-JfZ5HoHEplmjQomMl1lWju8dSqf69zLW8O_7X_0aX5CIBbvIXJ9DYOIoZ8F_w7fBRb1ePAQ_XyaJMk_h/s1600/hoonyg6.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 170px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475933768870554674" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjj7uZPxNFnhDq8wdZmLDABAPX4AlOLO8hlk8b2t8QflL6mGIFjSCxT98CTvg-JfZ5HoHEplmjQomMl1lWju8dSqf69zLW8O_7X_0aX5CIBbvIXJ9DYOIoZ8F_w7fBRb1ePAQ_XyaJMk_h/s400/hoonyg6.jpg" /></a><br /><br /><div>>>> เริ่มจากหัวหน้าวงแสนโรแมนติก Choi Jong Hun (มือเบส) ♥ วันเกิด:7 มีนา 1990, โซล ♥ อายุ:18 ปี แต่ใครๆคิดว่าผมโตกว่าอายุ ♥ กรุ๊ปเลือด: A แต่ผมไม่ใช่พวกเห็นแก่ตัวนะ ส่วนใหญ่เค้าบอกว่าคนกรุ๊ป B เป็นแบบนั้น ♥ ส่วนสูง: 178 ซม. ♥ น้ำหนัก: 60 กิโลกรัม ♥ โรงเรียน: ปีสอง ShinDongShinJung BoSan School (ม.5) ♥ งานอดิเรก: เขียนเพลง, อินเตอร์เนต ♥ ครอบครัว: พ่อแม่, JongHun (เป็นลูกคนเดียวนั่นเอง) ♥ ความสามารถพิเศษ: เปียโน ♥ ชื่อเล่น: SexyJongHun ♥ ข้อดี: จมูก ♥ ตำแหน่งในวง: หัวหน้าวง เหมือนจะเป็นหน้าที่ที่ยากนะ ใช่มั้ย? ♥ สิ่งที่ชอบ: อาหาร?? แหะๆ~ & ดนตรี - ที่รัก ♥ คติ: คิดและทำ (มุ่งหน้าไป) ผมไม่ค่อยมั่นใจนะ ขอโทษ! ♥ ถึงคนรักในอนาคต: ผมจะซื้อของให้คุณ ได้มั้ย? คุณอยากได้อะไร? ^^;" </div><br /><div></div></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-22235213365383743382010-05-27T05:08:00.000-07:002010-05-27T05:14:46.475-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibUmaQcfLigXOq2siG6Pgt7AckWA7vSb5fhGObRPr6rC7TibpN-viHkJNojHxnma3ti1sBALQh7PPAQtu7QaiI7dxY7Na4E48tvJLimHSLLMoaaoSeYvvbMSCrrJsf_bO4s5KUU2qWbZin/s1600/115.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 223px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921931634491826" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEibUmaQcfLigXOq2siG6Pgt7AckWA7vSb5fhGObRPr6rC7TibpN-viHkJNojHxnma3ti1sBALQh7PPAQtu7QaiI7dxY7Na4E48tvJLimHSLLMoaaoSeYvvbMSCrrJsf_bO4s5KUU2qWbZin/s400/115.jpg" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNIYhHia3GdWckeTb2DR7_13TogIMnmKSwLZLArjWD0spR0jIDuUpxhDPClhfygjuBhatcsFgYONn-AkChwMDxt2HMxAJ8W9vF8REg4wKW24hqVpZOt2xHPz0ee77s5PpBIKWZnnqGrDB4/s1600/17.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 242px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921824428879810" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNIYhHia3GdWckeTb2DR7_13TogIMnmKSwLZLArjWD0spR0jIDuUpxhDPClhfygjuBhatcsFgYONn-AkChwMDxt2HMxAJ8W9vF8REg4wKW24hqVpZOt2xHPz0ee77s5PpBIKWZnnqGrDB4/s400/17.jpg" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYGDNzOKKeT0mpwjs79MaDCVxdpJwdouOTPwzNexdUqtVOVdhcjEI39vkrMSZlU50oGELdh6CT6jZihFt38vZ0RAPcYVphDlih_lU6Z0Zi-2fdZF3rdqFNvOc5D8JOUtoWa2fp6NpyTcoG/s1600/16.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 260px; DISPLAY: block; HEIGHT: 249px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921687863885426" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYGDNzOKKeT0mpwjs79MaDCVxdpJwdouOTPwzNexdUqtVOVdhcjEI39vkrMSZlU50oGELdh6CT6jZihFt38vZ0RAPcYVphDlih_lU6Z0Zi-2fdZF3rdqFNvOc5D8JOUtoWa2fp6NpyTcoG/s400/16.jpg" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYJntNtN12wFaImtsQCvTAoD6KPOB0Jdcq3Froocmj1AE8zK5i_762Gsq3tl5jISDEdqyv-yYPbAP4xIIRl6AzCdWyCKtoM0tEKJ8Uwobf5lKaDaCWISx6l8XfMZqr-Foi9M5o8ihLlcdr/s1600/14.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 202px; DISPLAY: block; HEIGHT: 251px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921533395453778" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiYJntNtN12wFaImtsQCvTAoD6KPOB0Jdcq3Froocmj1AE8zK5i_762Gsq3tl5jISDEdqyv-yYPbAP4xIIRl6AzCdWyCKtoM0tEKJ8Uwobf5lKaDaCWISx6l8XfMZqr-Foi9M5o8ihLlcdr/s400/14.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSs5jfSDHFLsL28FrSzxx2_P0wHVjvz3nPT7m1UMqiwJekVwNXaXYtZeir3I0QbvbEFJhg8PP5WZPYY8e7HcQlCHo4cqe_s5AELjXKcd0tuGEfkTWUFNMdE8_fWd8DlUiAuty2SeqEy6ZT/s1600/13.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 201px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921434927324962" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSs5jfSDHFLsL28FrSzxx2_P0wHVjvz3nPT7m1UMqiwJekVwNXaXYtZeir3I0QbvbEFJhg8PP5WZPYY8e7HcQlCHo4cqe_s5AELjXKcd0tuGEfkTWUFNMdE8_fWd8DlUiAuty2SeqEy6ZT/s400/13.jpg" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG47n290FoSVDBPGFNUgONErSl-gAeENWynRxjxjLbb8_b0vloirgWFm5nuEzfKt_0Yaa3dV49rFNAfZmayoS9JoQdKwvGoJQtsYnz26-hFG8NvH-qxG7DeCW3gsktVRg1ngVrsNCZ_OOo/s1600/12.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 302px; DISPLAY: block; HEIGHT: 248px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475921288149004802" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgG47n290FoSVDBPGFNUgONErSl-gAeENWynRxjxjLbb8_b0vloirgWFm5nuEzfKt_0Yaa3dV49rFNAfZmayoS9JoQdKwvGoJQtsYnz26-hFG8NvH-qxG7DeCW3gsktVRg1ngVrsNCZ_OOo/s400/12.jpg" /></a><strong><span style="font-family:courier new;">วันวิสาขบูชา</span></strong><br /><br />วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า และปรินิพพาน<br /><br />ความหมาย คำว่า "วิสาขบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 วิสาขบูชา ย่อมาจาก " วิสา - ขบุรณมีบูชา " แปลว่า " การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ " ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นกลางเดือน 7<br />ความสำคัญ วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรัสรู้ คือสำเร็จ ได้ปรินิพพาน คือ ดับ เกิดขึ้นตรงกันทั้ง 3 คราวคือ<br />1. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติ ที่พระราชอุทยานลุมพินีวัน ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ์กับเทวทหะ เมื่อเช้าวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีจอ ก่อนพุทธศักราช 80 ปี<br /><br />2. เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย<br /><br />3. หลังจากตรัสรู้แล้ว ได้ประกาศพระศาสนา และโปรดเวไนยสัตว์ 45 ปี พระชนมายุได้ 80 พรรษา ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อวันอังคาร ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ในเมือง กุสีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย<br /><br />นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง ที่เหตุการณ์ทั้ง 3 เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บังเอิญเกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือน 6 ดังนั้นเมื่อถึงวันสำคัญ เช่นนี้ ชาวพุทธทั้งคฤหัสถ์ และบรรพชิตได้พร้อมใจกันประกอบพิธีบูชาพระพุทธองค์เป็นการพิเศษ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระบริสุทธิคุณ ของพระองค์ท่าน ผู้เป็นดวงประทีปของโลก<br />ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง วั น วิ ส า ข บู ช า ใ น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย<br />วันวิสาขบูชานี้ ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ซึ่งสันนิษฐานว่า คงจะได้แบบอย่าง มาจากลังกา กล่าวคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาอย่าง มโหฬาร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา กษัตริย์ลังกาในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ทรงดำเนินรอยตาม แม้ปัจจุบันก็ยังถือปฏิบัติอยู่<br />สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกามีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาใกล้ชิดกันมากเพราะพระสงฆ์ชาวลังกา ได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และเชื่อว่าได้นำการประกอบพิธีวิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย<br />ในหนังสือนางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบพิธีวิสาขบูชาสมัยสุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้ว่า " เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัยทั่วทุก หมู่บ้านทุกตำบล ต่างช่วยกันทำความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสุโขทัยเป็นการพิเศษ ด้วยดอกไม้ของหอม จุดประทีปโคมไฟแลดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นการอุทิศบูชาพระรัตนตรัย เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ครั้นตกเวลาเย็น ก็เสด็จพระราช ดำเนิน พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ไปยังพระ อารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน<br />ส่วนชาวสุโขทัยชวนกันรักษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบิณฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณรบริจาคทรัพย์แจกเป็นทานแก่คนยากจน คนกำพร้า คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรัพย์ ปล่อยสัตว์ 4 เท้า 2 เท้า และเต่า ปลา เพื่อชีวิตสัตว์ให้เป็นอิสระ โดยเชื่อว่าจะทำให้คนอายุ ยืนยาวต่อไป "<br />ในสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ด้วยอำนาจอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ เข้าครอบงำประชาชนคนไทย และมีอิทธิพลสูงกว่าอำนาจของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปรากฎหลักฐานว่า ได้มีการประกอบพิธีบูชาในวันวิสาขบูชา จนมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงดำริกับ สมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ มีพระราชประสงค์จะให้ฟื้นฟู การประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาขึ้นใหม่ โดย สมเด็จพระสังฆราช ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้น เป็นครั้งแรกในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อมีพระประสงค์ให้ประชาชนประกอบการบุญการกุศล เป็นหนทางเจริญอายุ และอยู่เย็นเป็นสุขปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และอุปัทวันตรายต่างๆ โดยทั่วหน้ากัน<br />ฉะนั้น การประกอบพิธีในวันวิสาขบูชาในประเทศไทย จึงได้รื้อฟื้นให้มีขึ้นอีกครั้งหนึ่งในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 และถือปฏิบัติมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน<br />การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วันวิสาขบูชา พ.ศ.2500 ซึ่งทางราชการเรียกว่างาน " ฉลอง 25 พุทธศตวรรษ " ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 18 พฤษภาคม รวม 7 วัน ได้จัดงานส่วนใหญ่ขึ้นที่ท้องสนามหลวง ส่วนสถานที่ราชการ และวัดอารามต่างๆ ประดับธงทิวและโคมไฟสว่างไสวไปทั่วพระ ราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล 5 หรือศีล 8 ตามศรัทธาตลอดเวลา 7 วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆ์รวม 2,500 รูป ประชาชน งดการฆ่าสัตว์ และงดการดื่มสุรา ตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 14 พฤษภาคม รวม 3 วัน มีการก่อสร้าง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระภิกษุสงฆ์วันละ 2,500 รูป ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารแก่ประชาชน วันละ 200,000 คน เป็นเวลา 3 วัน ออกกฎหมาย สงวนสัตว์ป่าในบริเวณนั้น รวมถึงการฆ่าสัตว์ และจับสัตว์ในบริเวณวัด และหน้าวัดด้วย และได้มีการปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นกรณีพิเศษ ในวันวิสาขบูชาปีนั้นด้วย </div></div></div></div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-8279913261229007912010-05-27T05:02:00.000-07:002010-05-27T05:03:00.890-07:00<a href="http://uploadingit.com/d/BTYW0TFBTQ9YAFGT">แบบทดสอบสมัยอยุธยา</a>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3589710667545448242.post-38182162081853246132010-05-27T04:48:00.000-07:002010-05-27T04:52:32.443-07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBcwbFnG6VWla699TGE9GJGVhbicsv5FvoXY2XQwYp_VflJSpZLGAdLafVV-wpzED831OBUPg6hWQyu6nzF-7hR5rrss2jGoFruzcieyuEzxGAYmHspobnEVfXcyImBilOhxzAKwAr_Ul4/s1600/1358.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 366px; DISPLAY: block; HEIGHT: 364px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5475916165656592882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgBcwbFnG6VWla699TGE9GJGVhbicsv5FvoXY2XQwYp_VflJSpZLGAdLafVV-wpzED831OBUPg6hWQyu6nzF-7hR5rrss2jGoFruzcieyuEzxGAYmHspobnEVfXcyImBilOhxzAKwAr_Ul4/s400/1358.jpg" /></a><br /><div align="center"><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#ff6666;"><strong>การปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา</strong></span><br /></div><br /><div align="center"></div><br /><div align="center"></div><div align="center">กรุงศรีอยุธยาปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์ทรง เป็นพระประมุข ที่มีอำนาจสูงสุดใน การปกครอง แผ่นดิน ทรงปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม พระองค์ทรง มอบหมายให้พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางปกครอง ดูแลเมือง ลูกหลวง หลานหลวง ต่างพระ เนตรพระกรรณ ส่วนเมืองประเทศราชมีเจ้านายใน ราชวงศ์เก่าปกครอง ขึ้นตรงต่อเมืองราชธานี ศรีอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ(พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑) ทรงปฏิรูปการปกครอง ลดทอน อำนาจหัวเมือง ทรงแยกการบริหาร ราชการแผ่นดิน ออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายทหาร มีสมุหกลาโหม เป็นผู้รับผิดชอบ ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นผู้รับผิดชอบ ในฝ่ายพลเรือนนั้นยังแบ่งออกเป็น ๔ กรมหรือ จตุสดมภ์ คือ สี่เสาหลัก ได้แก่ กรมเวียงหรือนครบาล ทำหน้าที่ปกครองดูแลบ้านเมือง กรมวังหรือธรรมมาธิกรณ์ ทำหน้าที่ดูแล กิจการพระราชวัง กรมคลังหรือโกษาธิบดี ทำหน้าที่ดูแลด้านการค้าและการต่างประเทศ กรมนาหรือเกษตราธิการ ทำหน้าที่ดูแลเรื่องเกษตรกรรม ซึ่งรูปแบบการปกครองนี้ ใช้สืบต่อมา ตลอด สมัยอยุธยา<br /><br />ระเบียบการปกครองสมัยอยุธยาการจัดระเบียบการปกครองแบ่งออกเป็น ๓ สมัย ๑. สมัยอยุธยาตอนต้น (พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๙๑) ๒. สมัยอยุธยาตอนกลาง (พ.ศ.๑๙๙๑-๒๒๓๑) ๓. สมัยอยุธยาตอนปลาย (พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๓๑๐)<br />ระบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยาตอนต้น สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ระบบการปกครองของกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ได้รับแบบอย่างมาจากสุโขทัย และจากขอมนำมาปรับปรุงใช้ ลักษณะการปกครองสมัยนั้นแบ่งเป็น<br />๑. การปกครองส่วนกลาง คือการปกครองภายในราชธานี ซึ่งได้รับอิทธิพลจากขอมแบบแผนที่ได้รับมาเรียกว่า “จตุสดมภ์” ซึ่งประกอบด้วย ๑.๑ เมืองหรือเวียง มีขุนเมือง เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ปกครองดูแลท้องที่และราษฎร ดูแลความสงบเรียบร้อย ปราบปรามโจรผู้ร้าย และลงโทษผู้กระทำความผิด ๑.๒ วัง มีขุนวัง เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เกี่ยวกับงานในราชสำนักและพระราชพิธีต่างๆ พิจารณาพิพากษาคดีต่างของราษฎรด้วย ๑.๓ คลัง มีขุนคลังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่เก็บและรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินอันได้จากอากร นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการต่างประเทศอีกด้วย ๑.๔ นา มีขุนนา เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่ดูแลการทำไร่นา รักษาเสบียงอาหารสำหรับทหาร ออกสิทธิที่นา และมีหน้าที่เก็บหางข้าวขึ้นฉางหลวง คือใครทำนาได้ก็ต้องแลกเอาเข้ามาส่งฉางหลวง<br /><br />๒. การปกครองส่วนภูมิภาค คือการปกครองพระราชอาณาเขต กรุงศรีอยุธยาได้แบบแผนมาจากครั้งกรุงสุโขทัย โดยการแบ่งหัวเมืองออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ ๒.๑ หัวเมืองชั้นใน มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีเมืองป้อมปราการด่านชั้นในสำหรับป้องกันราชธานีทั้ง ๔ ทิศ เรียกว่า เมืองลูกหลวง ซึ่งอยู่ห่างจากราชธานี เป็นระยะทางเดิน ๒ วัน ทิศเหนือ คือ เมืองลพบุรี ทิศใต้ คือ เมืองพระประแดง ทิศตะวันออก คือ เมืองนครนายก ทิศตะวันตก คือ เมืองสุพรรณบุรี นอกจากนั้น ยังมีหัวเมืองชั้นในตามรายทางที่อยู่ใกล้ๆ กับเมืองลูกหลวง เช่น เมืองปราจีน เมืองพระรถ(เมืองพนัสนิคม) เมืองชลบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เป็นต้น และถ้าเมืองใดเป็นเมืองสำคัญก็จะส่งเจ้านายจาก ราชวงศ์ออกไปครอง<br />๒.๒ เมืองพระยามหานคร หรือหัวเมืองชั้นนอก คือ เมืองใหญ่ที่อยู่ห่างจากหัวเมืองชั้นในออกไป ทิศตะวันออก คือ เมืองโคราชบุรี(นครราชสีมา) เมืองจันทบุรี ทิศใต้ คือ เมืองไชยา เมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง เมืองสงขลา และเมืองถลาง ทิศตะวันตก คือ เมืองตะนาวศรี เมืองทะวาย เมืองเชียงกราน<br />๒.๓ เมืองประเทศราช หรือเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) สันนิษฐานว่า คงจะมีแต่เมืองมะละกากับเมืองยะโฮร์ทางแหลมมลายูเท่านั้น ส่วนกัมพูชานั้นต้องปราบกันอีกหลายครั้ง จึงจะได้ไว้ในครอบครอง และในระยะหลังต่อมาสุโขทัยก็ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาด้วย เมืองประเทศราช มีเจ้านายของตนปกครองตามจารีตประเพณีของตน แต่ต้องกราบบังคมทูลให้กษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาแต่งตั้ง<br />ระบบการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ<br />สาเหตุที่ทรงแก้ไขใหม่ เพราะ ๑. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เคยเสด็จไปครองเมืองพิษณุโลกจึงทำให้พระองค์ทรงรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและการปกครองของกรุงสุโขทัยเป็นอย่างดี ว่าส่วนใดดีส่วนใดบกพร่อง ๒. อาณาจักรสุโขทัยได้ตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา และกรุงศรีอยุธยาตีได้นครธมราชธานีขอมใน พ.ศ. ๑๙๗๖ และในครั้งนั้น กรุงศรีอยุธยาได้ข้าราชการชาวสุโขทัยจำนวนมาก ชาวกัมพูชา พราหมณ์ เจ้านาย ท้าวพระยา ผู้ชำนาญทางการปกครอง มาไว้ในกรุงศรีอยุธยาจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้มีการปฏิรูปการปกครองขึ้น โดยเลือกเอาส่วนที่ดีของการปกครองกรุงสุโขทัยและขอมมาปรับปรุงใช้ในกรุงศรีอยุธยา<br />ลักษณะการปกครองสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ การปฏิรูปการปกครองใหม่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ และต่อมาในสมัยพระเพทราชา นั้น ได้ใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศสืบมา จนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จะแก้ไขปัญหาในบางสมัย ก็เป็นแต่แก้พลความ ส่วนตัวหลักนั้นยังคงยึดของเดิมอยู่ การปกครองสมัยอยุธยาตอนกลางมีดังนี้<br /><br />การปกครองส่วนกลาง แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ๑. ฝ่ายทหาร มีสมุหกลาโหม เป็นผู้บังคับบัญชา ตำแหน่งเทียบเท่าอัครมหาเสนาบดี มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยามหาเสนาบดี ทำหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับราชการทหาร<br />๒. ฝ่ายพลเรือน มีสมุหนายกเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ควบคุมดูแลเกี่ยวกับงานราชการพลเรือนทั่วๆ ไป มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ มีเสนาบดีจตุสดมภ์เป็นเจ้ากระทรวง ตำแหน่งรองลงมาจากสมุหนายก ทำหน้าที่เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมา เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่ดังนี้ กรมเมือง เปลี่ยนเป็น นครบาล กรมวัง เปลี่ยนเป็น ธรรมาธิกรณ์ กรมคลัง เปลี่ยนเป็น โกษาธิบดี กรมนา เปลี่ยนเป็น เกษตราธิการ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การปกครองของไทย ที่แบ่งราชการทหารกับราชการพลเรือนออกจากกัน แต่ในยามสงครามทั้งสองฝ่ายก็จะรวมพลังกันป้องกันประเทศ ถ้าเป็นยามที่บ้านเมืองสงบ เมื่อมีราชการทหารเกิดขึ้น สมุหกลาโหมก็จะทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม และนำมติที่ประชุมขึ้นกราบบังคมทูลต่อองค์พระเจ้าอยู่หัว เมื่อมีพระบรมราชโองการอย่างใด เสนาบดีกรมวัง ก็จะรับสั่งมายังเจ้าพระยามหาเสนาบดีสมุหกลาโหม จากนั้นก็จะสั่งการไปยังกรมทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าเป็นงานเกี่ยวกับราชการพลเรือน เจ้าพระยาจักรีองครักษ์ประธานในที่ประชุมและนำมติในที่ประชุมขึ้นกราบบังคมทูล เมื่อมีพระบรมราชโองการลงมาอย่างใด ก็จะสั่งไปยังเสนาบดีจตุสดมภ์ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับงานนั้นๆ<br /><br />การปกครองส่วนภูมิภาค การปกครองส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถนั้นได้วางหลักการปกครองหัวเมืองต่างๆ ให้เป็นแบบเดียวกันกับราชธานี โดยจัดให้มีจตุสดมภ์ตามหัวเมืองต่างๆและได้โปรดให้ยกเลิกเมืองลูกหลวงพร้อมทั้งขยายเขตการปกครองของราชธานีให้กว้างขวางออกไปโดยรอบ การปกครองส่วนภูมิภาคแบ่งตามเขตการปกครองออกเป็น<br />๑.หัวเมืองชั้นใน การปกครองหัวเมืองชั้นใน ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้กำหนดให้เมืองต่างๆ ที่อยู่ในวงราชธานี ซึ่งได้แก่ มณฑลราชบุรี มณฑลนครชัยศรี มณฑลนครสวรรค์ และมณฑลปราจีนบุรี เป็นเมืองชั้นจัตวา มีผู้รั้งและกรมการชั้นผู้น้อย(จ่าเมืองแพร่งและศุภมาตรา) เป็นพนักงานปกครองขึ้นอยู่กับเจ้ากระทรวงในราชธานี ๒.หัวเมืองชั้นนอก คือ หัวเมืองที่อยู่นอกราชธานีออกไป และได้จัดเป็นหัวเมืองชั้นโท ตรี ตามลำดับความสำคัญ ผู้ปกครองเมืองได้แก่ พระราชวงศ์หรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่พระมหากษัตริย์แต่งตั้งให้ออกไปครองเมือง มีอำนาจสิทธิ์ขาดแทนพระองค์ทุกประการ และมีกรมการพนักงานปกครองชั้นรองลงมาจากเจ้าเมือง คือ กรมการตำแหน่งพล(สมุหกลาโหม) กรมการตำแหน่งมหาดไทย(สมุหนายก) ตำแหน่งจตุสดมภ์ ทำหน้าที่เดียวกับในเมืองหลวง ก. หัวเมืองชั้นนอก เดิมทีเพียง ๒ เมืองคือ พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช ต่อมาในสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ยกเมืองนครราชสีมาเป็นหัวเมืองชั้นเอกอีกเมืองหนึ่ง ข. หัวเมืองชั้นโท มี ๖ เมือง คือ สวรรคโลก นครราชสีมา สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ตะนาวศรี ค. หัวเมืองชั้นตรี มี ๗ เมือง คือ พิชัย พิจิตร นครสวรรค์ จันทรบูรณ์ ไชยา ชุมพร พัทลุง ง. หัวเมืองชั้นจัตวา มี ๓๐ เมือง เช่น ไชยบาดาล ระยอง ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ บางละมุง นนทบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ ๓. เมืองประเทศราช เป็นเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปถึงชายแดนติดต่อกับประเทศอื่น ที่มีภาษาต่างไปจากประเทศไทย เช่น ทวาย ตะนาวศรี มะละกา เป็นต้น เมืองเหล่านี้ มีเจ้านายของเขาปกครองกันเอง เพียงแต่ใครจะเป็นเจ้าเมืองต้องกราบทูลให้พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทรงทราบก่อน และจะทรงแต่งตั้งให้ครองเมือง มีอำนาจสิทธิ์ขาดในเมืองของตนทุกประการ แต่ต้องถวายต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการมีกำหนด ๓ ปี ต่อครั้ง และถ้ากรุงศรีอยุธยาเกิดศึกสงคราม เมืองประเทศราชต้องส่งกำลังมาช่วย<br />การปกครองท้องถิ่น แบ่งเป็น ๑. บ้าน (หมู่บ้าน) มีผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าเมืองให้เป็นผู้ปกครอง ๒. ตำบล คือบ้านหลายๆ บ้าน รวมกัน มีกำนันเป็นหัวหน้าปกครอง มีบรรดาศักดิ์เป็น "พัน" ๓. แขวง คือตำบลหลายๆ ตำบลรวมกัน (เทียบได้กับอำเภอในปัจจุบัน) มีหมื่นแขวงเป็นหัวหน้าปกครอง ๔. เมือง คือ แขวงหลายๆ แขวงรวมกัน มีผู้รั้งปกครอง ถ้าเมืองเป็นเมืองชั้นจัตวา และมีเจ้าเมืองปกครอง ถ้าเมืองนั้นๆ เป็นเมืองชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี<br />ระบบการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สมัยพระเพทราชาถึงสิ้นกรุงศรีอยุธยา ลักษณะการปกครองกรุงศรีอยุธยาในระยะนี้ ยังคงใช้ระบบการปกครองสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นหลัก จนกระทั่งถึงสมัยพระเพทราชา ซึ่งเป็นสมัยที่บ้านเมืองไม่สงบเกิดกบฏขึ้นบ่อยครั้ง เพราะทหารมีอำนาจมากในขณะนั้น และอำนาจทางทหารตกอยู่ในความควบคุมของสมุหกลาโหมแต่เพียงผู้เดียว ดังเช่นในสมัยสมเด็จพระเชษฐาธิราช สมุหกลาโหมเป็นกบฎแย่งชิงราชสมบัติและตั้งตัวเป็นกษัตริย์คือ พระเจ้าปราสาททอง เป็นต้น จึงทำให้สมเด็จพระเทพราชาหวาดระแวงพระทัย เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในสมัยของพระองค์ เพื่อเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ พระองค์ตัดสินใจจัดระบบการปกครองใหม่เป็นบางส่วนดังนี้ สมุหกลาโหม แต่เติมเคยควบคุมเกี่ยวกับทางทหารทั่วประเทศ ให้เปลี่ยนมาเป็นควบคุมผู้บังคับบัญชาทหารและพลเรือนในแถบหัวเมืองฝ่ายใต้ สมุหนายก เดิมเคยควบคุมเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือน ให้เปลี่ยนมาควบคุมผู้บังคับบัญชาทั้งทางทหารและพลเรือนในแถบหัวเมืองฝ่าย เหนือ ในกรณีที่เกิดสงคราม ในหัวเมืองฝ่ายใด ผู้บังคับบัญชาการหัวเมืองฝ่ายนั้นต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ ดำเนินการต่อสู้ โดยเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพเตรียมทหารและเสบียงอาหาร เป็นต้น การที่เปลี่ยนจากระบบมีอำนาจเต็มทางทหารแต่ฝ่ายเดียวของสมุหกลาโหม มาเป็นระบบแบ่งอำนาจทั้ง ๒ ฝ่าย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ทำให้สมุหนายกและสมุหกลาโหมควบคุมและแข่งขันกันทำราชการไปในตัว การปกครองของเมืองหลวงยังคงใช้ระบบการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แต่มีการเปลี่ยนแปลงบ้างก็เฉพาะหัวเมืองต่างๆ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่านั้น เช่น ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ได้ทรงสร้างหัวเมืองชั้นในขึ้นอีกหลายเมือง ได้แก่ นนทบุรี นครชัยศรี ฉะเชิงเทรา สาครบุรี และสระบุรี ทำให้อาณาเขตราชธานีขยายกว้างออกไปอีก ส่วนหัวเมืองประเทศราชนั้นไม่แน่นอน ถ้าสมัยใดพระมหากษัตริย์มีอำนาจก็จะมีเมืองขึ้นหลายเมือง ถ้าอ่อนแอเมืองขึ้นต่างๆ ก็จะแข็งเมืองไม่อยู่ในอำนาจต่อไป การปกครองท้องถิ่นก็ยังคงใช้แบบเดียวกับสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ </div>ขายนิยาย มือสองของเเจ่มใส่ลด30-40%http://www.blogger.com/profile/00352799009053816494noreply@blogger.com0